การชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่ไม่ยึดหลักการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อ้างแค่ความชอบธรรมการชุมนุมสามารถทำได้ตามรัฐธรรมนูญ แต่ไม่สนใจว่าในระบอบการปกครองประชาธิปไตยนั้น การเปลี่ยนแปลงรัฐบาลต้องใช้ระบบรัฐสภา ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจของฝ่ายค้าน ไม่ใช่ตั้งก๊วนตั้งแก๊งกันข้างถนน สร้างเงื่อนไขให้เกิดความวุ่นวาย เพื่อให้ทหารเข้ามาแก้ปัญหาโดยการทำรัฐประหาร เหมือนที่เคยประสบความสำเร็จ ประกาศเป็นชัยชนะอย่างภาคภูมิใจของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หลังเหตุการณ์รัฐประหารวันที่ 19 กันยายน 2549
ในการขึ้นไปพ่นน้ำลายบนเวทีที่ยึดถนนราชดำเนินเป็นอาณาจักร ให้ถนนราชดำเนินเป็นถนนจำลองเดินไปโดยปริยายนั้น ผู้ขึ้นไปพ่นน้ำลายในคำหยาบคายสารพัดที่นึกขึ้นมาได้ แต่มีเป้าหมายเดียวกันคือ ต้องการจะโค่นระบอบทักษิณ ซึ่งเป็นนามธรรมที่หาคำจำกัดความไม่ได้ว่าหมายถึงอะไร
ทำให้แก๊งข้างถนนสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเอง ในการยึดถนนราชดำเนินเป็นอาณาจักรชุมนุมประท้วงขับไล่รัฐบาลของ นายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรี หลังจากที่ญัตติการแก้ไขรัฐธรรมนูญตกไป และ นายจักรภพ เพ็ญแข ลาออกจากตำแหน่งรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ซึ่งเป็นเงื่อนไขของแก๊งข้างถนนปลุกระดมให้คนมาชุมนุมประท้วง
ซึ่งหากเป็นการชุมนุมประท้วงของกลุ่มอื่นๆ เมื่อการประท้วงบรรลุผลสำเร็จ ก็ต้องสลายการชุมนุม แต่นี่กลับชุมนุมต่อไป สร้างจินตนาการ สร้างเรื่องกล่าวหาว่า รัฐบาลของ นายสมัคร สุนทรเวช เป็นหุ่นเชิดของระบอบทักษิณ
ทั้งที่รัฐบาลชุดนี้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง และคณะรัฐมนตรีได้เข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณต่อหน้าพระพักตร์ขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ก่อนเข้าปฏิบัติหน้าที่บริหารราชการแผ่นดิน
การชุมนุมประท้วงที่ยืดเยื้อนั้น การพ่นน้ำลายบนเวทีแต่ละวันแต่ละคืน ก็สร้างเรื่องใหม่ๆ ขึ้นมา ทั้งจากความเป็นจริงที่เกิดขึ้นในสังคม และเรื่องที่จินตนาการขึ้นมาเอง เพื่อปั่นหัวให้คนที่ถูกชักชวนมานั่งกรำแดดกรำฝนคล้อยตาม
เช่น กล่าวหาระบอบทักษิณ กำลังจะขายชาติให้กับแขกซาอุดิอาระเบีย โดยการเปิดทางให้แขกซาอุฯ มาเช่าที่นาปลูกข้าวที่ จ.สุพรรณบุรี ทั้งๆ ที่ข้อเท็จจริง เป็นแค่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี พามหาเศรษฐีชาวซาอุฯ มาดูการทำนา เพื่อเจรจาซื้อข้าวจากประเทศไทย
ซึ่งข้อเท็จจริงนั้น นายสมัคร สุนทรเวช ได้ชี้แจงไปแล้วทางรายการ “สนทนาประสาสมัคร” แต่นักพ่นน้ำลายไม่วายกล่าวหาว่าขายชาติ
หรือการจินตนาการทันทีที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายของ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร กลับมาดำรงตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อาวุโสอันดับ 1 ก็เพื่อสืบทอดระบอบทักษิณ
เพราะ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ จะเกษียณอายุราชการ ในปี 2552 ทำให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ซึ่งอาวุโสอันดับ 1 ซึ่งตามประเพณีปฏิบัติก็ต้องขึ้นดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
แต่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พยายามสร้างภาพสร้างจินตนาการว่า เป็นการสืบทอดอำนาจของระบอบทักษิณ
และ...เมื่อ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ แบ่งงานให้กับรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ มอบหมายให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ เป็นรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ฝ่ายปราบปราม 1 ก็กล่าวหาว่า แบ่งงานเพื่อเรียนรู้งานผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ
มันจะบ้ากันไปใหญ่ พวกแก๊งข้างถนน
ทำไมไม่พูดความจริงกันบ้างล่ะว่า พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ นั้นถูกคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ หรือ คมช. ย้ายจากรองผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ อาวุโสอันดับ 1 ไปประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หลังการทำรัฐประหาร เมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
เมื่อ นายสมัคร สุนทรเวช ได้ให้ความเป็นธรรมกับข้าราชการที่ถูกคณะรัฐประหารรังแก ก็จะคืนความชอบธรรมให้
หากไม่มีเหตุการณ์รัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549 พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ จะขึ้นดำรงตำแหน่งต่อจาก พล.ต.อ.โกวิท วัฒนะ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ด้วยซ้ำไป
การแต่งตั้งโยกย้ายนายตำรวจระดับผู้กำกับจำนวนกว่า 300 ตำแหน่ง ก็จะไม่ต้องมาสะสางกันทุกวันนี้ แต่แก๊งข้างถนนกลับชื่นชมคนที่ทำให้สำนักงานตำรวจแห่งชาติวุ่นวาย ทั้งการปฏิบัติและการบริหาร
นี่คือสิ่งที่แก๊งข้างถนนจินตนาการและสร้างเรื่องขึ้นมาแต่ละวัน ด้วยความที่จินตนาการกันเพลิน ทำให้เรื่องที่กล่าวหาคนอื่นนั้น ก็เป็นฝ่ายทำเสียเอง เช่น กล่าวหาว่ารัฐบาลนายสมัคร จะทำให้ประเทศไทยเป็นสาธารณรัฐ แต่แก๊งพันธมิตรฯ กลับตั้งอาณาจักรซ้อนอาณาจักรขึ้นบนถนนราชดำเนิน
นี่หรือคนที่มีผ้าโพกหัวว่า “กู้ชาติ” แต่กลับตั้งอาณาจักรขึ้นมาซ้อนกับอาณาจักรไทย และไม่ปฏิบัติตามกฎหมายและรัฐธรรมนูญของประเทศไทย
เอกฉัตร