ท่านผู้อ่านที่เป็นแฟนและติดใจในลีลาของผู้เขียน “รัดทำมะนวยฉบับหัวคูณ” จะตั้งตาคอยหนังสือ “เหี้ยส่องกระจก ถึงจุดจบรัดทำมะนวย” แล้ว วาทตะวัน “นักเขียนเลี่ยนคลิก” สุพรรณเภษัช ยังจะออกหนังสือ เขย่าต่อมฮาประชาชนซ้อนขึ้นมาอีก 1 เล่ม โดยยกโขยงร่วมกับ อ.โกร่ง ในพ็อกเก็ตบุ๊กเล่มพิเศษ ชื่อ ฝ่ายค้านดักดาน...ประชาธิปัตย์!!! (พรรคอิเหนา...“อิเหนา...เป็นเอง”)
เปิดโปงสันดานดัก ของพรรคเก่ากะโหลกกันให้มันถึงแก่น...พลาดไม่ได้เด็ดขาด!!!...
เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผมเขียนบทความที่ดูเหมือนว่าจะถูกอกถูกใจผู้คนเป็นจำนวนไม่น้อย เพราะได้รับโทรศัพท์จากแฟนๆ ดั้งเดิม หลายต่อหลายคนและหลายครั้งด้วย
บทความคราวที่แล้วชื่อ “ประชาธิปัตย์ พรรคอิเหนา...อิเหนาเป็นเอง”
ซึ่งผมได้วิพากษ์วิจารณ์พรรคการเมืองฝ่ายค้านดักดานว่า สมาชิกในพรรคนี้เป็นพวกที่มีพฤติกรรมใกล้เคียงกับสำนวนไทยที่พูดกันมานมนาน “ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง” คือ โจมตีต่อว่าต่อขานพรรคการเมืองฝ่ายตรงข้าม หรือนักการเมืองอื่นที่ไม่ใช่พวกของตนไว้ว่าอย่างไร แต่คนในพรรคตัวกลับเป็นผู้กระทำภายหลังเสียเอง หรือเคยทำมาก่อนแล้ว แต่นำกลยุทธ์เดิมที่เคยทำ กลับมาใช้เป็นประโยชน์ซ้ำอีก โดยเอาประสบการณ์ที่ตัวเองเคยโดนมาก่อน เป็นอาวุธในการไล่ตะบันฝ่ายตรงข้าม
ทำนองชี้ชั่วของคนอื่น เพื่อทำให้ตัวเองเด่นขึ้นมาเท่านั้น!
จากนั้นผมก็ได้ลำดับเรื่องที่พรรคดักดานนี้ชอบโจมตีว่า คนอื่นพรรคอื่นซื้อเสียง ในที่สุดสมาชิกระดับผู้บริหารพรรค ถูกศาลฎีกาท่านลงโทษจำคุกฐานซื้อเสียง 1 ปี กลายเป็นพรรคการเมืองพรรคแรก และพรรคเดียวเท่านั้นในประเทศไทย ที่ถูกลงโทษในความผิดฐาน “ซื้อเสียง”
ดังนั้น ถ้าจะถามกันว่า “พรรคไหนกันแน่ ที่มีชื่อว่าเป็นพรรคซื้อเสียง?”
ท่านผู้อ่านคงตอบได้ถูกกันทุกคน!!
คนตัวใหญ่ในพรรคนี้ ชอบคุยโม้เอ็ดตะโรเสียงลั่นว่า ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ผ่องใสนัก แต่ก็มีเรื่องตรงข้ามกับที่พูดโผล่ออกมา เช่น การแจก สปก.4-01 ที่เขาให้แจกแก่เกษตรกรไม่มีที่ทำกิน แต่ดันเอาไปแจกให้เศรษฐี ที่เกี่ยวดองหนองยุ่งกับคนในพรรค ร้อนถึงโรงศาล
มีการต่อสู้กันหลายปีดีดัก แต่ในที่สุดเมื่อเวลาผ่านไปหนึ่งทศวรรษ ศาลฎีกาได้มีคำพิพากษา ให้เศรษฐีผู้ครอบครองคืนที่ดิน สปก. ให้กับรัฐ แต่ปรากฏว่าตัวจำเลยมีอันเป็นไปเสียก่อน คนที่อยู่ในที่ดินไม่ยอมออก นัยว่าต้องมีการขับไล่กันอีก
แม้พรรคนี้จะไม่ได้ขึ้นเป็นรัฐบาลใหญ่ แต่ก็ยังโชคดีที่ได้บริหารรัฐบาลเมืองหลวงคือ กทม. ซึ่งผมก็ลำดับเรื่องให้เห็นอีกว่า เป็นประวัติศาสตร์ครั้งแรกของ กทม. ที่ฝ่ายบริหารมีอันต้องหาคดีอาญา ในเรื่องทุจริตคอร์รัปชั่นมากมาย
มีเจ้าหน้าที่ของรัฐ ลองลำดับจำนวนคดีให้ผมดูแล้ว เขายืนยันว่า
ทั้งคดีใหญ่น้อย รวมทั้งคดีที่ต้องแตกลูกแตกหลานออกอีก นับดูแล้วน่าตกใจเพราะมีมากกว่าครึ่งร้อยคดี และผมจึงได้เตือนสตินายอภิรักษ์ ว่า
“โอกาสติดคุกของคุณ มีสูงมากนะ!”
น่าประหลาดที่ผมพูดไปวันเดียว วันรุ่งขึ้นมีการไปรับรถดับเพลิงเจ้าปัญหา ที่ทิ้งไปชำรุดทรุดโทรมเป็นปี เพื่อไปเก็บไว้ในโรงจอดที่อื่น แต่ก็ยังเป็นการเอาไปเก็บ ไม่ได้เอาไปใช้ และอ้อมแอ้มพูดว่า ไม่อยากเก็บไว้ที่ท่าเรือเพราะเสียค่าจอด
ฟังแล้วก็ขำ จะติดตะรางกันแล้ว...เพิ่งจะคิดกันได้!!
เรื่องสำคัญที่ผมเขียนอีกเรื่องหนึ่ง และเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง คือ กรณีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่สมาชิกพรรคเอามาเป็นประเด็นอภิปรายในสภา เพราะมีบุคคลในรัฐบาลปัจจุบัน ไปทำเรื่องทำให้ถูกกล่าวหา ตั้งแต่ก่อนที่ตัวเองจะเข้าร่วมรัฐบาลปัจจุบัน
ผมก็บอกว่า
สมาชิกพรรคฝ่ายค้านดักดานนี้ทำมาก่อน ไม่ได้กระทำด้วยการพูดเป็นภาษาอังกฤษ ที่ต้องมีผู้เชี่ยวชาญมานั่งแปล นั่งถกกัน แต่พรรคนี้ทำด้วยวิธีการตีพิมพ์ข้อความหมิ่นฯ ลงในสติ๊กเกอร์อย่างอุกอาจยิ่ง
ชาวบ้านเขาเห็นก็อดรนทนไม่ได้ ต้องเอามาแจ้งความกับตำรวจ ซึ่งพนักงานสอบสวนแถลงว่า
ข้อความนั้นหมิ่นชัดเจน จึงเรียกตัว คุณหญิงกัลยา โสภณพนิช กับพวก มาแจ้งข้อหา และมีความเห็นสั่งฟ้อง แต่อัยการดัน สั่งไม่ฟ้อง บอกว่า
“ไม่มีเจตนา!!!”
มันเป็นเรื่องที่ค้างคาใจ สำหรับผู้คนจำนวนมากอยู่จนทุกวันนี้ มากเสียยิ่งกว่าตอน นายเสริมเกียรติ วรดิษฐ์ อธิบดีอัยการฝ่ายคดีอาญาใต้ ใช้อำนาจ “สั่งไม่ฟ้อง” คดีหมอวิสุทธิ์ฆ่าเมีย ซึ่งเป็นคุณหมอด้วยกันเสียด้วยซ้ำไป แต่คดีหมอยังดีที่พวกตำรวจอดรนทนไม่ได้ ต้องช่วยเหลือบิดาของคุณหมอผู้หญิง ในการเป็นโจทก์ฟ้องเองอย่างเต็มกำลัง
ที่ตลกมากคือ...
เมื่อศาลประทับรับฟ้อง คดีหมอฆ่าเมียไปเรียบร้อยแล้ว ทางฝ่ายอัยการถึงทำกระมิดกระเมี้ยน ไปขอเป็น “โจทก์ร่วม”
โถ!...ฝ่ายอัยการจะคิดอย่างไรนั้น ก็เป็นเรื่องของท่าน แต่เมื่อศาลฎีกาท่านได้พิพากษาให้ประหารชีวิตคุณหมอผู้ชาย สังคมลงความเห็นไปเรียบร้อยแล้วว่า
มันช่างเป็น “รอยด่าง” ของสถาบันอัยการอย่างยิ่ง
สำหรับคดีหมิ่นของคุณหญิงกัลยา แม้ไพร่ฟ้าที่จงรักภักดีจะไปยื่นเป็นโจทก์ฟ้องเองไม่ได้ก็ตาม แต่...
จะต้องมีการดำเนินกรรมวิธี “ตีแผ่เบื้องหลัง” คดีนี้ ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เอากันให้ถึงแก่นถึงแกนทีเดียว...คอยดูก็แล้วกัน!
ระยะเวลาใกล้เคียงกับที่ผมเขียนบทความ ที่ได้เล่าให้ท่านผู้อ่านฟังไปแล้ว ปรากฏว่า ดร.วีรพงษ์ รามางกูร ผู้ที่เป็น “กูรู” ทางการเงินการคลัง ออกมาเขียนคอลัมน์ “คนเดินตรอก” ในหัวข้อ
“ประชาธิปัตย์ต้องการปฏิรูป”
ท่านยังบอกต่อไปอีกด้วยว่า พรรคนี้ต้องการ “การปฏิรูปอย่างรุนแรง” ที่คล้ายๆ กับผมอยู่หน่อยก็คือ อ.โกร่ง บอกว่า คงปฏิเสธกันไม่ได้ว่าพรรคเก่าแก่นี้...
“หลอกตนเองว่าพ่ายแพ้การเลือกตั้ง เพราะฝ่ายตรงกันข้ามซื้อเสียง แต่ ในกรณีที่ทหารและข้าราชการถูกสั่งให้มาช่วยอย่างเต็มที่ทั้งกำลังคน กำลังอำนาจ และกำลังเงินซื้อเสียงให้ แล้วยังแพ้อย่างยับเยิน ตนกลับไม่คำนึงถึง หลายคนบอกว่า แม้ฝ่ายตรงกันข้ามไม่ซื้อเสียงเลย ก็ยังชนะพรรคประชาธิปัตย์”
ท่านผู้อ่านลองมองย้อนกันไป จะเห็นด้วยกับ อ.วีรพงษ์ ได้ชัดว่า
ก่อนเลือกตั้งครั้งที่แล้ว จะมีความช่วยเหลือเกื้อกูลพรรคประชาธิปัตย์กันอย่างเต็มพิกัด จากทางแก๊งทหารผู้ยึดอำนาจ สถานีวิทยุและโทรทัศน์ต่างๆ ร่วมกันทำสงครามสื่อ ช่วยกันออกข่าวตั้งแต่ย่ำรุ่ง จนไปอุษาสางอีกวัน เปิดรายการสหสามัคคีบาทาไล่กระทืบพรรคฝ่ายตรงข้าม คือพรรคแกนนำรัฐบาลปัจจุบันอย่างเมามัน แต่พระเจ้าช่วยกล้วยทอดแล้วด้วย
ขนาดนั้นยังพ่ายแพ้ได้ถึงเพียงนี้ น่าอับอายนัก!
ฟังผมกันไว้ให้ดีๆ นะ
เที่ยวหน้าพรรคประชาธิปัตย์จะรักษาที่นั่งในสภาให้อยู่ในระดับหนึ่งร้อยเสียงได้ ก็นับว่าเป็นบุญแล้ว ไม่เชื่อก็ต้องดูกันไป!!
อีกสิ่งหนึ่งที่ผมเห็นด้วยกับแนวความคิดของ อ.โกร่ง ที่ท่านอุตส่าห์โยงโย่โยงโหยกออกมาบอกว่า
พรรคประชาธิปัตย์มุ่งล้มล้างรัฐบาลจนเกินไป อาจเป็นเพราะความสำเร็จของบรรพชนของพรรคในอดีต ที่ประสบความสำเร็จในการขับไล่รัฐบาลทหาร
ในความเห็นผมแล้ว ความสำเร็จที่ว่านั้นไม่ต้องเกิดจากการทำงานหนัก หรือการนำเสนอนโยบายที่ดี เพราะนโยบายของพรรคประชาธิปัตย์ ก็แทบจะก๊อปปี้ของพรรครัฐบาล ที่เคยบริหารได้ถูกอกถูกใจประชาชน มาเติมตรงหัวนิดต่อตรงหางหน่อยเข้าเท่านั้น แล้วออกมายืดอกบอกว่า
“นี่เป็นของของฉัน คิดเองทำเองจ้ะ” อะไรเทือกนั้น
คนเขามีสติปัญญา มองปราดเดียวก็รู้ว่า
“ลอกเขามาทั้งเพ”
ความสำเร็จที่หวังว่าจะได้มาจากการโจมตีรัฐบาลฝ่ายตรงข้าม บางทีกลับทำให้เสียคะแนนไปอย่างช่วยไม่ได้
ผมขอยกตัวอย่างให้ดูนิดหนึ่งก็ได้ ดังนี้
ผู้จัดการออนไลน์ 28 ธันวาคม 2547 จับเอาคำสัมภาษณ์ประธานพรรคประชาธิปัตย์ มาลงเป็นพาดหัวว่า “ชวน” กรีด 2 หมื่นล. เยียวยา "สึนามิ" เหมาะสมชดเชยละเลยใต้มา 4 ปี
แล้วโปรยข่าวต่อว่า...‘ชวน’ ชี้เป็นอำนาจรัฐเปิดประชุมวิสามัญเพื่อขออนุมัติงบช่วยผู้ประสบภัย “สึนามิ” กรณีพิเศษ ชดเชย 4 ปี ที่ละเลยคนใต้มานาน พร้อมกรีดซ้ำปัญหาไฟใต้ไม่คิดจะทำบ้าง-หรือ "แก้เผ็ด" ชาวบ้านที่ไม่เลือก ทรท. ครั้งที่แล้ว...
ดูปากสิ!
ที่ผมเห็นว่าตลกเอามากๆ ก็คือ เมื่อราษฎรเขากำลังเดือดร้อน แต่พรรคประชาธิปัตย์นอกจากไม่คิดจะทำอะไรให้เป็นประโยชน์กับชาวบ้านแล้ว ยังดันทะลึ่งเอ่ยปากกระแนะกระแหน
ตามสันดานประจำพรรค...เป็นอย่างนั้นไป!
ประชาชนที่เขาเดือดร้อน พอรู้เข้าก็ก่นด่าเข้าให้ ถึงรู้สึกตัวว่าพลาดไป จึงได้จัดทีมยุรยาตร ทำทีออกไปเยี่ยมเยียนราษฎร เนื่องจากกลัวเสียคะแนนในการเลือกตั้งที่ใกล้จะถึง
แต่ก็ไม่ทันการณ์...เสียแล้ว
การเลือกตั้งครั้งนั้น พรรครัฐบาลทักษิณไม่ต้องทำอะไรมากเลย แค่เกาะกระแสผลงาน “สึนามิ” เท่านั้น ก็ควบตูดโด่งเข้าป้าย ชนะในการเลือกตั้งแบบขาดลอย โดยมีพรรคดีแต่ปากของตามาร์ค ม.7 วิ่งกะเล่อกะล่ากระเซอะกระเซิง ตามดมตูดเขามาห่างๆ แต่ก็ไกลหลายป้ายรถเมล์นัก
จึงตกเป็น “ฝ่ายค้าน” อีกครั้งไปตามระเบียบ
นี่เป็นตัวอย่างหนึ่งที่ชี้ให้เห็นว่า
การเอาแต่โจมตีเขา ตามสันดานประจำพรรคนั้น ไม่ได้ประสบความสำเร็จอย่างในอดีตอีกแล้ว
ตัวอย่างที่เพิ่งเห็นกันสดๆ ร้อนๆ ก็คือ
การชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตรงถนนราชดำเนิน เรื่องนี้ผมจะไม่ยกมาพูดเลย หากไม่มีผู้แทนราษฎรพรรคประชาธิปัตย์ ทะลึ่งเข้าไปเป็นแกนนำกับเขาด้วย แม้ทางพรรคจะออกมาบอกว่า
เป็นเรื่องของตัวบุคคล แต่นั่นแหละครับ...
หลักฐานที่เขาเอามาเปิด ก็เห็นกันจะจะว่า พรรคดักดานนี้อยู่ทั้ง
เบื้องหน้า-เบื้องหลังของการชุมนุม เพราะทางการเขามีหลักฐานมั่นคงว่า
มีการว่าจ้างผู้คนเข้ากรุงเทพฯ ก็มีการถ่ายภาพเป็นหลักฐานกันเอาไว้ นำมาออกทางโทรทัศน์ด้วย แต่นั่นแหละครับ พรรคตามาร์คแกจะทำเองหรือไม่
จะต้องให้แจงกันอีกไหม?
การมีเหตุการณ์ที่ใกล้ถึง “จุดอันตราย” ในบ้านนี้เมืองนี้ พระมหากษัตริย์เจ้าชาวไทยจะเสด็จพระราชดำเนิน ในเส้นทางปกติคือ “ถนนราชดำเนิน” ก็ทรงกระทำไม่ได้แล้ว ต้องหลีกเลี่ยงทางไป เพราะสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นผู้นำการประท้วง กับพรรคพวกเขายึดครองอยู่ อย่างที่ผู้นำรัฐบาลท่านว่า เรื่องนี้...
ชาวไทยที่จงรักภักดี รู้สึกเจ็บปวด...เป็นอย่างยิ่ง!
เมื่อมีเรื่องอย่างนี้เกิดขึ้น หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ก็ลงใต้ไป จ.ยะลา ไม่รู้ว่าจะแสดงตัวให้เห็นว่า ตนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุม แต่ที่สำคัญคือ ตัวเองก็ไม่เคยคิดที่จะช่วยบ้านเมือง ด้วยการคลี่คลายสถานการณ์ เพื่อความสงบเรียบร้อยของปวงชนโดยส่วนรวม
ค่ำวันเสาร์ที่ผ่านมา นายสนธิญาณ หนูแก้ว สื่อมวลชน นักจัดรายการวิทยุ ได้พูดคุยกับ นายรัฐกร อัสดรธีรยุทธ์ ที่คลื่น FM 101 ให้ความเห็นในทำนองที่ว่า
นายมาร์ค ม.7 น่าจะเรียกประชุมสมาชิกพรรค แล้วนำข้อเสนอไปให้ฝ่ายรัฐพิจารณา เพื่อนำความปกติสุขกลับมาในบ้านเมืองให้จงได้ แต่กลับไม่กระทำ!
เออ...จริงอย่างที่ตาสนธยาแกว่าแฮะ จะเกรงใจหรือกลัวสมาชิก ที่เข้าร่วมขบวนการแสดงบน “วิกมัฆวานรังสรรค์” หรือเปล่า? ก็ไม่รู้ซี
หลังจากนายสนธยา ได้ทักในเชิงตำหนิเข้าเท่านั้น นายอภิสิทธิ์ก็ง่อนแง่นโงนเงนลุกกลับขึ้นยืน ทำขึงขังเรียกประชุม ทำทีว่าจะหาทางออกให้บ้านเมืองขึ้นมาเชียว แต่ผู้คนเขารู้อยู่เต็มอกว่า
พรรคนี้มีส่วนร่วมในการก่อให้เกิดความไม่ปกติขึ้นในบ้านเมืองอย่างชัดเจน ชนิดแก้ตัวไม่ได้ เพียงเพื่อความมุ่งหมายเดิม อันสืบทอดมาจากคนรุ่นเก่าของพรรค นั่นคือ
“การมุ่งล้มล้างรัฐบาล” เท่านั้น
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ ผมอยากจะนำเรื่องที่น่าจะเป็นประโยชน์มาเล่าสู่เป็นข้อมูลให้ช่วยกันพิจารณาเปรียบเทียบ พฤติกรรมของพรรคฝ่ายค้านดักดานนี้เพิ่มเติมอีก ก็คือ
ระหว่างที่มีการรณรงค์หาเสียงสหรัฐอเมริกา ผมได้ติดตามข่าวสารมาตลอด ได้อ่านเรื่องราวของผู้ที่จะสมัคร รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ
ในส่วนของพรรคเดโมแครต มีข่าวว่า นายมารค์ วอร์นอร์ ผู้ว่าการรัฐเวอร์จิเนีย จะลงสมัครรับเลือกตั้งด้วย แต่เจ้าตัวปฏิเสธ เพราะอยากมีชีวิตครอบครัวที่เป็นปกติสุข แต่ในอนาคตเขาจะสมัครหรือไม่ ยังไม่แน่ ถึงตอนนี้ยังมีคนอเมริกันจำนวนมากอยากให้นายวอร์เนอร์สมัครเป็นรองประธานาธิบดี คู่กับ นายบารัค โอบามา ที่กำลังชิงชัยกับวุฒิสมาชิก ฮิลลารี คลินตัน อดีตสุภาพสตรีหมายเลข 1 ของสหรัฐอเมริกา
ไม่ได้มาคุยเรื่องของเขา แต่จะนำคำพูดของชายคนนี้ ที่ผู้คนรู้จักดี มาเล่าให้ท่านผู้อ่านฟัง เพราะเขาพูดเอาไว้โดนใจผมเต็มที่ เพราะเหมาะกับเหตุการณ์บ้านเมืองในบ้านเราเอามากๆ
มารค์ วอร์นอร์ พูดเอาไว้ว่า
“การเมืองเป็นกิจการเดียวที่ ‘การไม่ทำอะไรเลย’ นอกไปจากการกระทำให้อีกฝ่ายเสื่อมเสีย เป็นผลลัพธ์ที่ยอมรับกันได้”
(Politics is the only business where doing nothing other than making the other guy look bad is an acceptable outcome.)
ผมอยากเชิญชวนให้ท่านทั้งหลาย หันกลับไปมองพรรคการเมืองเจ้าปัญหา ที่ชักจะเป็น “ฝ่ายค้านดักดาน” เข้าไปทุกที เนื่องจากเป็นฝ่ายค้านมายาวนาน ถึง 3 สมัยซ้อน นั่นคือ
“พรรคประชาธิปัตย์”
ท่านผู้อ่านลองดูสิครับว่า
พฤติกรรมของพรรคนี้ มีอะไรที่คล้ายคลึงกับคำพูดของนักการเมืองสหรัฐคนนี้บ้างหรือไม่?
ก็เพราะความประพฤติของคนในพรรคประชาธิปัตย์เป็นอย่างนี้แหละครับ ผมจึงเห็นว่า
นอกจากไม่ส่งเสริมระบอบประชาธิปไตยแล้ว ยังส่อไปในทางเป็นพวก “กัด” เซาะ บ่อนทำลายประชาธิปไตย อันเป็นระบอบการปกครองของชาติ ให้ต้องอ่อนแอลง หรืออาจเป็นเพราะว่า
เส้นทางเดินตามวิถีทางแห่งระบอบนี้ ไม่สามารถทำให้พรรคนี้บรรลุวัตถุประสงค์ เพื่อเป็นรัฐบาลได้อีก เพราะไม่ว่าจะเป็นการพร่ำ ร่ำร้องเรียกหา
“นายกฯ ม.7”
ตลอดจนการเข้าไปมีส่วนร่วม โดยตั้งใจหรือไม่ก็ตาม ในการจุดชนวน หรือเร่งปฏิกิริยาให้มีการปฏิวัติ ล้มล้างระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เพียงเพื่อให้พรรคตัวเองมีโอกาสกลับเข้าไปบริหารชาติบ้านเมือง ตามความปรารถนาดานดัก ของคนในพรรคนี้เท่านั้น
ผมได้แต่หวังว่า
แม้สันดอนของสันดานพรรคนี้จะหยั่งรากลึกเพียงใด แต่ขอให้ท่านผู้อ่านเชื่อเถอะครับว่า จะต้องมีคนอย่างผมช่วยกันขุดขึ้นมาตีแผ่ ไม่เพียงแต่จะให้พรรคนี้พ่ายแบบ “แฮตทริก” คือ แพ้ติดต่อกันถึงสามครั้งสามคราเท่านั้น ยังพวกเราจะต้องขุดตีแผ่กันต่อไป เพื่อให้เกิดความมั่นใจเพิ่มขึ้นอีกด้วยว่า
เมื่อมีการเลือกตั้งเกิดขึ้นเมื่อใด ประชาชนคนในชาติ จะช่วยกันออกเสียงตรงข้ามกับพรรค “นักกัด” ให้พ่ายแพ้ย่อยยับ...
ต้องตกเป็น “ฝ่ายค้านดักดาน” อยู่อย่างนี้ ทุกครั้งและทุกคราไป!!!
โดย...วาทตะวัน สุพรรณเภษัช