เรากำลังโฆษณาชวนเชื่อเรื่องโลกร้อนกันอย่างเมามัน โดยแทบไม่เคยชี้แจงข้อมูลให้กระจ่าง นี่ย่อมเป็นกระบวนการของอวิชชาโดยแท้ ผมขอลงทุนมองต่างมุมเพื่อหวังให้เกิดสังคมอุดมปัญญา ที่จะเชื่อกันด้วยวิจารณญาณจากการไตร่ตรองด้วยประจักษ์หลักฐาน และเหตุผลอย่างรอบด้าน ที่ผมว่าต้อง “ลงทุน” นำเสนอนั้น เพราะการมองต่างจาก “ฝ่ายธรรมะ” ที่พยายามเย้วๆ ปลุกให้คน “ทำดี” นั้น ย่อมเสี่ยงต่อการถูกบริภาษหรือถูกมองในแง่ลบ แต่ผมก็ได้เพียงหวังว่า วิญญูชนจะร่วมกันพิจารณาครับ 9.พวกนี้ยังมีความคิดที่เป็นไสยศาสตร์ เช่น การเสนอทางออกว่าควรทำบุญตักบาตรหรือถวายสังฆทานเป็นทางออกสุดท้าย เพราะอย่างน้อยก็เป็นการบำบัดจิต การที่ “นักวิทยาศาสตร์” ชิงบทบาทของนักการศาสนามานำเสนอเช่นนี้เป็นเรื่องน่าสลดยิ่ง นี่ไม่ใช่การแสดงว่าพวกเขาเป็นศาสนิกชนที่ดี คนพวกนี้เพียงนำศาสนามาเป็นอาภรณ์ประดับให้ตนดูดีมากกว่า
เมื่อเร็วๆ นี้ ผมไปฟังวิทยากรระดับที่เคยเป็นที่ปรึกษารัฐบาล และนำเสนอเรื่องโลกร้อนให้หน่วยงานต่างๆ ฟังมามากมาย แต่ผมฟังแล้วกลับไม่เชื่อ ไม่ใช่ว่าผมมีอคตินะครับ แต่เหตุผลที่วิทยากรนำเสนอนั้นช่างอ่อนเกินไป ผมจึงขอนำเสนอเหตุผลในอีกแง่มุมหนึ่ง และที่ผมใช้คำว่า “เร็วๆ นี้” ไม่ได้บอกว่าวันไหน ก็เพราะผมไม่ประสงค์ที่จะกล่าวให้เกิดความเสียหายแก่วิทยากรเหล่านั้นเป็นการส่วนตัว เพียงแต่มุ่งหวังจะตรวจสอบกันด้วยเหตุผลเท่านั้น
การโต้แย้งเรื่องโลกร้อนนี้ ผมเคยเขียนไว้ในบทความเรื่อง “เล่ห์กลหาประโยชน์จากเรื่องโลกร้อน” ซึ่งมีหลักฐานอ้างอิงต่างๆ มากมาย และปรากฏในเว็บไซต์ต่างๆ หรือที่ http://www.thaiappraisal.org/Thai/Market/Market166.htm
สำหรับข้อโต้แย้งในที่นี้ ผมขอนำเสนอเป็นข้อๆ ดังนี้:
1.วิทยากรเรื่องโลกร้อนมักจะนำเสนอในลักษณะคล้ายการนำเสนอทางวิทยาศาสตร์ แต่ถ้าสังเกตให้ดี จะพบว่าการนำเสนอเหล่านั้น มักจะนำเสนอด้วยข้อมูลด้านเดียว และมักไม่มีแหล่งอ้างอิงทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนมาให้ผู้ฟังได้วินิจฉัย ดูเป็นการ “ยกเมฆ” มากกว่า เช่น การที่โลกอุ่นขึ้นก็มองเพียงว่าทำให้เชื้อโรคอยู่ได้นานขึ้น แต่ไม่บอกความจริงว่าโลกอุ่นทำให้สามารถผลิตธัญญาหารได้มากขึ้น หรือการละเลยความจริงที่ว่าโลกร้อนก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม และเคยร้อนอย่างเป็นวัฏจักรมาก่อน หรือโลกยังเคยมีปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มหาศาลกว่าในปัจจุบัน เป็นต้น
2.การ “ขู่” ว่าน้ำแข็งขั้วโลกจะละลายภายในเวลา 30-40 ปี เมื่อถึงตอนนั้นน้ำจะท่วมโลกในระดับความสูงถึง 80 เมตร เรื่องนี้วิญญูชนควรไตร่ตรอง การเปลี่ยนแปลงทางธรรมชาติอะไรจะรวดเร็วได้ถึงขนาดนั้น ชั่วเวลานานแสนนานจึงจะมีน้ำท่วมโลกสักที จู่ๆ ก็จะท่วมภายในเวลาเพียงแค่นี้ นี่แสดงว่าพวกคลั่งเรื่องโลกร้อนบางส่วนจินตนาการเพ้อฝันยิ่งกว่านิยายวิทยาศาสตร์ในภาพยนตร์เรื่อง “The Day After Tomorrow” เสียอีก
3.การ “โฆษณาชวนเชื่อ” ด้วยการนำภาพเด็ดต่างๆ มานำเสนอ เช่น น้ำท่วมนครเวนิส ในขณะที่เมื่อเร็วๆ นี้ น้ำคลองในเวนิสเพิ่งเหือดแห้งจนพายเรือไม่ได้ หรือการบิดเบือนว่าน้ำทะเลในอ่าวไทยเพิ่มขึ้น ทั้งที่มีการศึกษาเช่นกันว่าระดับน้ำลดลง นอกจากนี้ยังชอบกล่าวว่า ชายฝั่งทะเลถูกกัดเซาะไปโดยไม่นำพาข้อเท็จจริงในอีกด้านหนึ่ง ว่ามีการงอกของที่ดินริมทะเลในพื้นที่อื่นเช่นกัน
4.การ “ใส่ไข่” ว่าพื้นที่ชายฝั่งแถวกรุงเทพมหานครและปริมณฑล ถูกกัดเซาะต่อเนื่องเพราะภาวะโลกร้อนจนวัดอยู่กลางน้ำ ทั้งที่สาเหตุหลักเป็นเพราะการทำลายป่าชายเลน การทรุดตัวของแผ่นดินจากการสูบน้ำบาดาล และอื่นๆ และกลับละเลยความจริงที่ว่า พื้นที่ลึกเข้าไปในลุ่มน้ำเจ้าพระยา เช่น วัดเจดีย์หอย ปทุมธานี ยังเคยเป็นทะเล และกลายเป็นแผ่นดินเพราะการสะสมของตะกอนจนถึงทุกวันนี้
5.ที่น่า “ละอาย” อย่างมากเลยก็คือ การโยงแทบทุกปัญหาในโลกนี้ว่าเป็นผลพวงจากภาวะโลกร้อน เช่น พายุนาร์กีส ทั้งที่เป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่เคยเกิดขึ้นมาก่อน และเคยมีที่ร้ายแรงกว่านี้มาแล้วในภูมิภาคนี้ในอดีต นอกจากนี้การประท้วงเรื่องอาหารในเฮติหรือในประเทศอื่น ก็ยังถูกเหมารวมไว้ว่าเป็นเพราะภาวะโลกร้อนเช่นกัน
6.การนำเสนออย่างไม่ฉุกคิดถึงเหตุผล เช่น หิมะบนยอดเขาคีรีมันจาโร หรือยอดเขาสูงอื่นๆ ละลายได้อย่างไร ในขณะที่ตลอดทั้งปีมีอุณหภูมิต่ำกว่าจุดเยือกแข็ง และแม้ว่าหากอุณหภูมิบนผิวโลกจะสูงขึ้นบ้าง บนยอดเขาก็ยังต่ำกว่าจุดเยือกแข็งอยู่ดี การที่น้ำแข็งจะละลายอาจเป็นเพราะสาเหตุอื่นที่ควรศึกษาให้ละเอียด เช่น การเปลี่ยนแปลงใต้พิภพ ไม่ใช่สักแต่โทษเรื่องโลกร้อน
7.พวกคลั่งเรื่องโลกร้อนมัก “ใส่ร้าย” ผู้อื่น เช่น พอนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เชื่อเรื่องโลกร้อนออกมาตั้งคำถามต่อพวกเขา พวกเขาก็มักจะกล่าวหาว่าพวกนักวิทยาศาสตร์เหล่านั้นรับใช้นายทุนหรือประเทศมหาอำนาจ เป็นต้น โดยมักไม่ใส่ใจถกเถียงทางวิชาการให้ชัดเจน จะสังเกตได้ว่าพวกคลั่งเรื่องโลกร้อนมักเอาเครดิต ความน่าเชื่อถือของตัวเองมาจูงใจให้คนเชื่อ (ผิดหลักกาลามสูตรที่พระพุทธเจ้าตรัสว่าอย่าเชื่อเพียงเพราะว่าคนพูดเป็นอาจารย์) มากกว่าการใช้ประจักษ์หลักฐานทางวิทยาศาสตร์มาหักล้าง
8.พวกคลั่งเรื่องโลกร้อนมักจะไม่ใส่ใจการพัฒนาประเทศ คิดแต่เพียงว่าน้ำจะท่วมกรุงเทพมหานคร ต้องหนีไปที่อื่น คิดไปไกลถึงขนาดว่า ไม่ควรสร้างรถไฟฟ้าใต้ดินเพราะจะเป็นการสูญเปล่า อวดฉลาดว่าสนามบินสุวรรณภูมิที่สร้างด้วยเงินหลายแสนล้านบาทจะเป็นความสูญเปล่า พวกนี้ไม่ยอมรับความจริงว่า ประเทศเนเธอร์แลนด์ก็ยังอยู่ได้ในระดับต่ำกว่าน้ำทะเลมานานแล้ว โดยบางแห่งต่ำกว่าถึงกว่าสิบเมตร การคิดแบบ “งอมืองอเท้า” ของคน “ขวางโลก” เหล่านี้เป็นอันตรายอย่างยิ่ง เพราะเป็นการคิดที่ยอมจำนนและไม่สร้างสรรค์อะไรเลย
โปรดอย่าเข้าใจผิดว่า ผมไม่เห็นด้วยกับการรณรงค์ให้สังคมดูแลรักษาสิ่งแวดล้อมนะครับ ทุกคนควรประหยัดการใช้ทรัพยากรของโลกอยู่แล้ว แต่การพยายาม “โฆษณาชวนเชื่อ” ให้คนเชื่อทฤษฎีโลกร้อนที่ขาดประจักษ์หลักฐานทางวิทยาศาสตร์ และมักกระทำด้วยการใช้ความน่ารัก น่าสงสารของคน สัตว์ และสิ่งของมาชักจูงให้คล้อยตามนั้น เป็นสิ่งที่เราควรใช้วิจารณญาณให้ดี
โปรดอ่านบทความของผมเรื่อง “เล่ห์กลหาประโยชน์จากเรื่องโลกร้อน” (http://www.thaiappraisal.org/Thai/Market/Market166.htm) ซึ่งมีข้อมูลในรายละเอียดมากมาย เพื่อให้เกิดการอภิปรายและวินิจฉัยกันด้วยเหตุผล อันจะทำให้เกิดสังคมอุดมปัญญา และเกิดการคิดค้นหาทางออกของปัญหามากกว่าการยอมจำนน
ดร.โสภณ พรโชคชัย
ประธานกรรมการ มูลนิธิประเมินค่าทรัพย์สินแห่งประเทศไทย