เนื้อหาหลักและบทสรุป
ปัจจัยภายในและปัจจัยภายนอก
บทความนี้ศึกษาถึงกำเนิดและความเป็นมาของการสร้างมายาคติว่าด้วย “ลัทธิแบ่งแยกดินแดน” ในวาทกรรมการเมืองสมัยใหม่ของรัฐไทย อะไรคือมูลเหตุและปัจจัยที่ก่อให้เกิดแนวความคิดที่เรียกกันต่อมาว่า “ลัทธิแบ่งแยกดินแดน” (separatism) ข้อสรุปจากการศึกษาในขั้นนี้ วิเคราะห์ถึงมูลเหตุทางการเมืองซึ่งมีที่มาจากทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศ ภายในประเทศ ได้แก่ การต่อสู้และโค่นล้มพลังการเมืองฝ่ายเสรีนิยมและก้าวหน้า (พรรคสหชีพและแนวร่วมรัฐธรรมนูญ) ที่นำโดย ปรีดี พนมยงค์ และอดีตขบวนการเสรีไทย โดยมีกลุ่มและนักการเมืองท้องถิ่นสำคัญๆ ร่วมด้วย
โดยเฉพาะทางภาคอีสาน ฝ่ายตรงข้ามที่ประกอบกันเป็นพลังอนุรักษนิยมและต่อต้านฝ่ายก้าวหน้า ได้แก่ กลุ่มกษัตริย์นิยม กลุ่มข้าราชการเก่า และที่สำคัญคือ กลุ่มทหารบก โดยมีพรรคการเมืองเอียงขวาคือ ประชาธิปัตย์ ให้การสนับสนุนด้วย เหตุการณ์สำคัญที่สุดที่นำไปสู่การกำเนิดของการเมืองที่ต่อต้านรัฐด้วยหนทางนอกระบบและกฎหมายนั้นคือ การรัฐประหาร 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 ซึ่งเรียกได้ว่าเป็น “บิดา” ของการรัฐประหารและปฏิวัติโดยกองทัพในเวลาต่อมาอีกครึ่งค่อนศตวรรษ ส่วนเหตุการณ์ระหว่างประเทศคือ สงครามโลกครั้งที่ 2 และการเริ่มสงครามเย็นต่อต้านลัทธิคอมมิวนิสต์ที่นำโดยประเทศสหรัฐและพันธมิตรในยุโรป เช่น อังกฤษ ในกรณีภาคใต้ การเคลื่อนไหวของพรรคคอมมิวนิสต์มลายาและกลุ่มชาตินิยมมลายูมีส่วนสร้างความหวั่นวิตกให้แก่ฝ่ายพันธมิตร โดยเฉพาะเมื่อพรรคคอมมิวนิสต์มลายาทำการโจมตีด้วยกำลังอาวุธ ทำให้อังกฤษประกาศภาวะฉุกเฉินทั่วไปในมลายาเมื่อปี พ.ศ.2490
อุดมการณ์ลัทธิชาตินิยม
นอกจากบริบททางประวัติศาสตร์ดังกล่าวแล้ว ยังมีปัจจัยสำคัญที่ช่วยทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างดินแดนในปตานีกับกรุงเทพฯ คลี่คลายดำเนินไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นเรื่อย นั่นคือปัจจัยในทางอุดมการณ์ทางการเมือง ได้แก่ สิ่งที่เรียกว่าลัทธิชาตินิยม คือ จินตนากรรมถึงความเป็นชาติเดียวกันของบรรดาผู้คนในรัฐๆ หนึ่งเหมือนกับว่ามันเป็นชุมชนที่เป็นธรรมชาติ เกิดและเติบโตมาอย่างเป็นเอกภาพสำหรับทุกคนเหมือนกัน ลัทธิชาตินิยมสยามถูกสร้างขึ้นมาท่ามกลางการต่อสู้กับมหาอำนาจตะวันตกสมัยรัชกาลที่ 5 เป็นต้นมา รูปธรรมที่ชัดที่สุดคือ การปฏิรูปการปกครอง ด้วยการผนวกและรวมศูนย์ดินแดนที่เคยอยู่หรือเป็นประเทศราชแต่ก่อน ให้เข้ามาเป็นหน่วยหนึ่งในรัฐใหม่คือ สยามที่เป็นรัฐชาติ กลายเป็นบริเวณ มณฑล และจังหวัดในที่สุดของสยามไป นั่นคือประวัติศาสตร์ของการสุดสิ้นอาณาจักรปตานีและอื่นๆ
การสร้างชาติไทยที่ไม่สมบูรณ์
กระบวนการสร้างชาติดำเนินต่อมาอีก แม้ในที่รัฐไทยสยามเปลี่ยนผ่านจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาสู่ระบอบประชาธิปไตยแล้ว การสร้างรัฐชาติไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 และสงครามมหาเอเชียบูรพา มีส่วนในการผลักดันและสร้างแนวความคิดทางการเมืองของ “การแบ่งแยกดินแดน” ให้เกิดขึ้นในการเคลื่อนไหวทางการเมืองของกลุ่มพลังการเมืองใหม่ในภูมิภาคต่างๆ จากใต้จรดเหนือและอีสาน ด้านหนึ่งกระบวนการสร้างรัฐและชาติไทยดำเนินไปอย่างเต็มที่ ในระยะทศวรรษปี พ.ศ.2480 แต่ผลลัพธ์กลับเป็นการสร้างรัฐที่เป็นอัตลักษณ์เดี่ยวคือ ความเป็นไทย ที่ไม่เหลือเนื้อที่และเนื้อหาให้กับผู้คนเชื้อชาติและศาสนาอื่นๆ ที่ไม่ใช่ไทยและไม่ใช่พุทธ ชาติไทยจึงดูเหมือนก้าวขึ้นสู่จุดสุดยอดของการสร้างชาติที่ทันสมัย แต่แท้จริงแล้วกลายเป็นชาติที่ไม่สมบูรณ์ ในอีกด้านหนึ่งกล่าวได้ว่า กระแสอิทธิพลของแนวคิดชาตินิยมก็ได้มีส่วนในการปลุกระดมความตื่นตัวและสำนึกในความเป็นหนึ่งของคนท้องถิ่นด้วยเหมือนกัน เช่น ในบริเวณ 3 จังหวัดมลายูมุสลิมชายแดนภาคใต้ และในภาคอีสาน เป็นต้น
ชาตินิยมมลายู
กรณีการก่อตัวขึ้นของขบวนการเรียกร้องและต่อสู้เพื่อความเป็นคนมลายูและเป็นมุสลิม มีปัจจัยที่ทำให้แตกต่างไปจากกลุ่มเคลื่อนไหวในภูมิภาคอื่นๆ ตรงที่บทบาทของศาสนาและผู้นำท้องถิ่นใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ การเคลื่อนไหวดำเนินไปภายใต้การนำของอูลามะ หรือฮะยีห์ หรือโต๊ะครู ซึ่งเป็นผู้นำทางศาสนาของชาวบ้านและชุมชน ที่มีมายาวนานแล้ว แต่ที่ทำให้สถานการณ์ทางการเมืองกับรัฐไทยเปลี่ยนไปคือ การที่ศาสนาอิสลามถูกทำให้เป็นการเมืองมากขึ้น หรือมีมิติทางการเมืองมากขึ้น ทั้งนี้ด้วยลักษณะและการปฏิบัติของศาสนาอิสลามเอง และปฏิสัมพันธ์กับโลกสมัยใหม่ที่เป็นโลกิยวิสัย (secular) ที่สำคัญคือ การที่มุสลิมยึดถือและปฏิบัติหลักการคำสอนของศาสนาในชีวิตประจำวันอย่างจริงจังและสม่ำเสมอ วัตรปฏิบัติของอิสลามเป็นส่วนที่สำคัญในการดำรงชีวิตที่เป็นจริงไม่ใช่ในพิธีกรรมเหมือนศาสนาอื่นๆ
ดังนั้นเมื่อรัฐไทยเริ่มการผนวกอาณาจักรปตานีให้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของรัฐและความเป็นไทย จึงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกระทบเข้ากับการปฏิบัติทางศาสนาของชาวมุสลิม ในระยะแรกมีการผ่อนปรนให้ใช้กฎหมายอิสลามในเรื่องครอบครัวหย่าร้างและทรัพย์สิน แต่ในทางปฏิบัติรัฐไทยก็ยังยืนยันที่จะต้องเป็นผู้กำหนดแต่งตั้งควบคุม และกระทั่งตัดสินว่าคำพิจารณาของผู้พิพากษาอิสลามในศาลศาสนาที่เรียกว่า โต๊ะกาลี ต่อมาเรียกว่า ดะโต๊ะยุติธรรม นั้นชอบด้วยกฎหมายหรือไม่ ปัญหาเรื่องการจัดการปัญหาครอบครัวและมรดกของคนมุสลิมนั้น รัฐไทยอนุโลมด้วยการให้ใช้หลักการกฎหมายอิสลามในเรื่องว่าด้วยครอบครัวและมรดกที่ร่วมกันแปลเป็นภาษาไทย (ดำเนินการจากปี พ.ศ.2472-2484) เป็นหลัก แต่ในทางปฏิบัติก็ให้ดำเนินวิธีการทางศาลในแบบศาลแพ่งธรรมดา เพียงแต่มีดะโต๊ะยุติธรรมนั่งทำการพิจารณาร่วมด้วย สมัยรัฐบาลจอมพล ป. ประกาศยกเลิกดะโต๊ะยุติธรรมไป 3 ปี (จากปี พ.ศ.2486-2489) ปัญหาว่าศาลศาสนาดังกล่าวจะอยู่ใต้ผู้พิพากษาอิสลามทั้งหมดได้หรือไม่ การแต่งตั้งดะโต๊ะยุติธรรมโดยคนมุสลิมเองได้ไหม จะเป็นปัญหาในการเคลื่อนไหวที่มีมิติทางการเมืองอย่างมากในช่วงการนำของ หะยีสุหลง
การใช้ความรุนแรงโดยรัฐ
มิติอีกด้านอันเป็นผลจากปฏิสัมพันธ์ระหว่างการเคลื่อนไหวของชาวมลายูมุสลิมภาคใต้กับรัฐไทยกรุงเทพฯ คือ การใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหาขัดแย้งและการเมืองของประชาชน กระบวนการเปลี่ยนผ่านทางการเมืองและการสร้างรัฐไทยสมัยชาตินิยมนี้ นำไปสู่การใช้กำลังและความรุนแรงปราบปรามและสยบการเรียกร้อง และสร้างอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมและการเมืองของภูมิภาคทั้งหลายลงไป โดยที่กรณีของมลายูมุสลิมในภาคใต้มีลักษณะเฉพาะต่างจากภาคอื่น และมีผลสะเทือนที่ยังส่งผลต่อมาอีกนาน ประวัติศาสตร์ของการต่อสู้เคลื่อนไหวของชาวมุสลิม 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้จึงรวมศูนย์ในประวัติศาสตร์ที่รู้จักกันว่าคือ “กบฏหะยีสุหลง” กับ “กบฏดุซงญอ” ในปี พ.ศ.2491
กล่าวได้ว่าเหตุการณ์และความขัดแย้งใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น มีทรรศนะในการมองที่ตรงข้ามกันระหว่างรัฐและประชาชนมลายูมุสลิมภาคใต้ ในขณะที่รัฐมองว่าการต่อต้านลุกฮือต่างๆ ของคนมลายูมุสลิมนั้นเป็นการ “กบฏ” แต่ฝ่ายประชาชนมุสลิมเองกลับมองว่า การเคลื่อนไหวถึงการประท้วงต่อสู้ต่างๆ นั้นคือ การเรียกร้องความเป็นธรรมและสิทธิของพลเมืองในรัฐ ที่เคารพวัฒนธรรมความเชื่อของคนกลุ่มน้อย ไปจนถึง “การทำสงคราม” เพื่อความถูกต้องและเป็นธรรมตามศรัทธาและความเชื่อของตน
หนทางของการเจรจาต่อรอง
จากการศึกษาในหนังสือเล่มนี้ กล่าวได้ว่า ก่อนที่จะเกิดการใช้ความรุนแรงโดยรัฐนั้น มีหนทางของการเจรจาและทำความเข้าใจตกลงกันในวิธีการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัด ผู้นำมลายูมุสลิมในภาคใต้มีความต้องการแน่วแน่ในการเจรจาต่อรองกับรัฐบาลไทย ต่อปัญหาขัดแย้งต่างๆ ที่เกิดขึ้น ในทศวรรษปี 2480 เป็นต้นมา การเคลื่อนไหวและขบวนการต่างๆ ที่เกิดขึ้น เป็นปฏิกิริยาต่อการจัดการปัญหาและไม่พอใจสภาพกดขี่ไม่ยุติธรรมที่พวกเขาได้รับอยู่ และต่อเนื่องมาจากการต่อรองเจรจากับรัฐบาล
อุปสรรคและปัจจัยที่ทำให้การเจรจาต่อรองนั้นไม่ประสบผลสำเร็จมีหลายประการ หนึ่งคือ อุปสรรคทางศาสนาและวัฒนธรรม ระหว่างความเป็นชาติไทยที่ถือว่าเป็นสมาชิกของชาติมหาอำนาจในโลกสมัยนั้น อีกด้านคือ การไม่มองถึงอัตลักษณ์และความเท่าเทียมกันของชนชาติที่ไม่ใช่ไทย อันนี้เป็นกระแสที่เกิดขึ้นทั่วไปในประเทศเกิดใหม่หลังสงครามโลก ที่มีความเชื่อว่าความเป็นชาติหรือเชื้อชาติเล็กๆ กระจัดกระจายนั้น ไม่ใช่เรื่องสำคัญใหญ่โตเฉพาะหน้า ขอให้สร้างประเทศชาติใหม่ที่คนเชื้อชาติใหญ่ขึ้นมานำได้สำเร็จ ก็จะสามารถคลี่คลายสร้างชาติให้เข้มแข็ง แล้วชนชาติอื่นๆ ก็จะมีความสุขไปเอง
นอกจากนั้น เมื่อเกิดปัญหาขัดแย้งกับทางการขึ้น มีลักษณะสองอย่างในชุมชนมุสลิมที่ทางการไทยไม่เข้าใจ และนำไปสู่การสรุปว่าเป็นการแข็งขืนทางการเมือง ข้อแรกคือ การที่ชุมชนมุสลิมมีการจัดตั้งและมีโครงสร้างสังคมที่เข้มแข็งแน่นเหนียว ทำให้สามารถดำเนินการเคลื่อนไหวอย่างเป็นเอกภาพได้สูง ลักษณาการเช่นนี้ย่อมหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะทำให้ผู้นำรัฐและเจ้าหน้าที่หวาดระแวง และกระทั่งหวาดกลัวการกระทำที่อาจนำไปสู่การเป็นปฏิปักษ์ต่ออำนาจการปกครองของพวกตนได้ การเปรียบเทียบชุมชนในสายตาของเจ้าหน้าที่ ก็ย่อมมาจากการเปรียบเทียบกับชุมชนไทย ซึ่งทำให้ได้ข้อสรุปที่ไม่ช่วยให้เข้าใจ หรือมองชุมชนมุสลิมในด้านบวกได้มากนัก
โดยเฉพาะในระยะเวลาที่สถานการณ์ตึงเครียด อีกข้อหนึ่งคือ ลักษณะและธรรมชาติของศาสนาอิสลาม ซึ่งไม่มีการแบ่งแยกระหว่างศาสนากับการเมืองหรือสังคม ผู้นำศาสนาอิสลามมีหน้าที่ต้องให้การช่วยเหลือนำพาชาวบ้านในทุกๆ เรื่อง ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐไทยมองพฤติการณ์ของบรรดาผู้นำศาสนาต่างๆ (เช่น หะยีสุหลงในสมัยโน้นและอุสตาซในสมัยนี้) ว่าล้วนเป็นการเมืองทั้งสิ้น ในความหมายของการกระทำที่บ่อนทำลายอำนาจและความชอบธรรมของรัฐไทยลงไป ทั้งหมดนี้ทำให้ปฏิบัติการแก้ไขปัญหาการเมืองของทางการและรัฐไทยที่ไม่ละเอียดอ่อนพอ หลีกไม่พ้นที่ไปกระทบและทำลายจิตใจและความเชื่อของคนมุสลิมไป ที่สำคัญคือ ความเป็นมลายู อันเป็นอัตลักษณ์ทางโลกที่แนบแน่นกับความเป็นมุสลิมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
ศาสนาไม่ใช่ต้นเหตุของความขัดแย้งทางการเมือง
สาเหตุของความขัดแย้งระหว่างชนชาติส่วนน้อยกับรัฐ แม้โดยส่วนใหญ่อาจมาจากการมีความเชื่อและการปฏิบัติทางศาสนาที่แตกต่างตรงข้ามกันก็ได้ ในทางเป็นจริงนั้น ความขัดแย้งดังกล่าวไม่จำเป็นต้องปะทุลุกลามกลายเป็นความขัดแย้งที่รุนแรงและเป็นปฏิปักษ์กัน นอกจากว่าอำนาจรัฐเข้ามาจัดการอย่างไม่ถูกต้อง ดังกรณีของกบฏดุซงญอ ทำให้เห็นชัดเจนขึ้นว่า ปัญหาของศาสนาและเชื้อชาตินั้นก็ยังขึ้นต่อปัญหาและความเป็นมาในพัฒนาการทางการเมืองระดับชาติ และในทางสากลด้วย ดังเห็นได้จากการที่ทรรศนะและการจัดการของรัฐไทยต่อข้อเรียกร้องของขบวนการมุสลิมว่า เป็นภยันตรายและข่มขู่เสถียรภาพของรัฐบาลไป
จนเมื่อเกิดรัฐประหาร 2490 และสหรัฐกับอังกฤษต้องการรักษาสถานะเดิมของมหาอำนาจในภูมิภาคอุษาคเนย์เอาไว้ วาทกรรมรัฐว่าด้วย “การแบ่งแยกดินแดน” ก็กลายเป็นข้อกล่าวหาที่สอดคล้องกับสถานการณ์สงครามเย็นในการเมืองระหว่างประเทศ ส่วนภาวการณ์ในประเทศการสร้างความเป็นระเบียบเรียบร้อยภายใต้อำนาจรัฐของศูนย์กลาง ก็เป็นความจำเป็นภายในประเทศที่เร่งด่วน ทั้งหมดทำให้การใช้กำลังและความรุนแรงต่อกลุ่มชนชาติ (ส่วนน้อย) และหรือกลุ่มอุดมการณ์ที่ไม่สมานฉันท์กับรัฐบาลกลาง เป็นความชอบธรรมและถูกต้องไปได้ในที่สุด
*หมายเหตุ
หนังสือความเป็นมาของทฤษฎีแบ่งแยกดินแดนในภาคใต้ไทย งานวิจัยปัญหาความรุนแรงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ของไทย ผู้เขียน รศ.ดร.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ จัดพิมพ์โดย โครงการเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ศึกษา คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ร่วมกับแผนงานร่วมศึกษา เสริมสร้างสุขภาวะ กรณี 3 จังหวัดภาคใต้ คณะทำงานวาระทางสังคม สถาบันวิจัยสังคม จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย สนับสนุนโดย สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.)
อ.ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ
ที่มา http://www.southwatch.org/books.php?id=6