WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, August 12, 2008

I shall return นั่นคือแถลงการณ์ลี้ภัยของทักษิณ



บทความ โดย ลูกชาวนาไทย

ทักษิณต้่องรักษาชีวิตให้รอด นั่นคือสิ่งที่ต้องทำเบื้องต้น ในพื้นที่สังหาร

---

บทความก่อนหน้านี้ ผมเคยเขียนเอาไว้แล้วว่า ขณะนี้ทักษิณอยู่ใน "พื้นที่สังหาร" ของศัตรูทางการเมืองของเขา ดังนั้น เมื่อตกอยู่ในพืันที่สังหารแล้ว สิ่งที่ต้องทำเบื้องต้นคือ "การรักษาชีวิตให้รอด" ออกจากพื้นที่สังหารให้ได้ก่อน อย่าไปสนใจเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น เพราะหาก เอาชีวิตไม่รอด ก็ไม่มีโิอกาส "Counter-attack หรือกลับมาโจมตีตอบโต้อีก ไม่มีทางที่จะต่อสู้ต่อไปได้อีก กฎแห่งการสู้รบคือ รักษาชีวิตของตนเองให้รอดจากสงครามก่อนที่คิดจะทำลายศัตรู เพราะหากไม่มีชีวิตรอด โอกาสที่จะชนะหรือทำลายศัตรูย่อมไม่มีทางเป็นไปได้

นายพลแม็คอาเธอร์ แม่ทัพใหญ่ภาคพื้นแปซิฟิกของอเมริกาในสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนที่ถูกญี่ปุ่นล้อมที่คาบสมุทบาตานในฟิลิปปินส์ จนต้องถอนตัวออกจากฟิลิปปินส์ ได้กล่าววาจาเป็นอมตะเอาไว้ว่า

I shall return หรือ เราจะกลับมาอีก




การต่อสู้ทางการเมืองนั้น หากผู้นำทางการเมืองยังไม่ตายเรื่องมันก็ไม่จบ แม้เขาจะถูกไล่ฆ่า สิ้นเนื้อประดาต้ว ต้องระหกระเหินแทบเอาชีวิตรอด แต่เมื่อ "ชีวิตเขายังอยู่" สงครามก็ยังไม่จบ เพราะ "สมบัติที่ยิ่งใหญ่ของผู้นำทางการเมือง" ที่คนอื่นๆไม่มี คือ "ศรัทธาของมหาชน" ที่มีต่อเขา และเมื่อเขากลับมา "ประชาชนที่ศรัทธาเขาก็จะเข้ามาร่วมพลังเป็นฐานสนับสนุนเขาทันที นั่นเป็นสมบัติอันยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าสมบัติพัสถานใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะ ศรัทธา มันทำให้สามารถชิงเมืองกลับมาได้


ตรงกันข้าม ผู้นำที่ประชาชนสิ้นศรัทธาลงไปเรื่อยๆ แม้จะได้ชัยชนะชั่วคราว แต่ในบั่นปลายก็ไม่สามารถรักษาเมืองเอาไว้ได้อย่างแน่นอน ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเป็นอย่างนี้มาตลอด

การประกาศลี้ภัยทางการเมืองของทักษิณครั้งนี้ ผมถือว่าเหมาะสมแล้ว เพราะการต่อสู้มันยังไม่จบง่ายๆ ถึงอย่างไร ประเทศไทยก็ไม่มีทางย้อนกลับไปสู่ยุคกลาง ยุคอำมาตยาธิปไตยได้ การตัดสินใจครั้งนี้ของทักษิณ ถือว่าเป็นการตัดสินใจอย่างถูกต้องที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา หลังการรัฐประหาร
19 กันยายน 2549 ที่ทักษิณตัดสินใจผิดพลาดมาตลอด ตั้งแต่ไม่สู้ และยอมเชื่อโทรศัพท์ลึกลับทั้งหลาย ตอนนี้คงหูตาสว่างแล้ว

เมื่อหูตาสว่างแล้ว และยังมีชีวิตรอด ยังมีอิสระภาพอยู่ แม้ว่าจะต้องอยู่ต่างแดน แต่ว่านั้นคือ ยุทธศาตร์ที่ดีที่สุดแล้ว และอยู่ในชัยภูมิที่ข้าศึกจะทำลายไม่ได้อีกแล้ว ออกจากพื้นที่สังหาร และเขตอิทธิพลของศัตรูไปแล้ว

ตอนนี้อยู่ที่ว่าจะตีโต้อย่างไร ให้ศัตรูต้องเจ็บปวดที่สุดในชีวิต ชัยชนะของทักษิณนั้นเป็นที่คาดการณ์ได้ แม้ว่าต้องอาศัยเวลาบ้างเล็กน้อยก็ตาม

การอยู่ต่างประเทศ แต่ยังอยู่ใน "หมู่บ้านโลก" ในยุคปัจจุบันนี้มันแตกต่างจากยุคโบราณ เพราะยังสามารถส่งข่าวสาร ความคิด ความต้องการ หรือการเคลื่อนไหวต่างๆ เพื่อให้เมืองไทยได้รับรู้ในโลกยุคนี้ย่อมเป็นเรื่องไม่ยากนัก การอยู่ที่ลอนดอนหรือบ้านจันทร์ส่องหล้า ไม่ได้มีความแตกต่างกันแต่อย่างใดในศตวรรษที่ 21 ระบบสื่อสารออนไลน์ต่างๆ ทำให้ระยะทางไม่มีความหมายอีกต่อไป

แต่ศัตรูไม่อาจเอื้อมมือไปถึงได้ ทีนี้ศัตรูของทักษิณก็ได้แต่ถูกล้อมกรอบอยู่ในประเทศด้อยพัฒนาเท่านั้น จะอยู่รอดในศตวรรษที่ 21 ท่ามกลางกระแสประชาธิปไตยที่เชี่ยวกราดนี้ไปได้นานสักเท่าใด อนาคตของคนเหล่านี้ ใครมีสติปัญญาก็พอประเมินได้ไม่ยากเย็นอะไรนัก


ตอนนี้ ทักษิณจะได้เรียน รู้สักทีว่า "ศัตรูนั้นกะเล่นถึงตาย" หากยังไม่ตัดสินใจต่อสู้อย่างจริงจัง ก็ต้องตายแน่นอน ดังนั้น การหลบออกไป ตั้งฐานที่มั่นในต่างประเทศ หรือจะหยุดสงบจิตสงบใจชั่วคราวก็ไม่เป็นไีร

รอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแผ่นดินก่อน ค่อยเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่ง (สำนวนเหมือนขงเบ้งในสามก๊กที่กำหนดยุทธศาสตร์ให้เล่าปี ให้ยกทัพไปตั้งตัวที่เฉฉวน รอคอยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแผ่นดิน ค่อยยกทัพมาเอาบ้านเมืองคืน)

ผมถือว่า "การขอลี้ภัยทางการเมือง" คือการต้ัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในสายตาของผม

ตอน นี้ประเทศไทยมี "ผู้มีบารมียิ่งใหญ่ที่แท้จริง" ไม่กี่คนเท่านั้น (ผมไม่อยากบอกจำนวนว่ามีกี่คน) ที่ได้รับศรัทธาจากประชาชนอย่างแท้จริง เป็น "บารมีที่แท้จริงไม่ใช่จอมปลอม" หนึ่งในนั้นคือ "ทักษิณ ชินวัตร" และทักษิณก็เป็นผู้มีบารมีที่แท้จริงที่อายุน้อยที่สุด

รออีกสิบปีผู้มีบารมีคนอื่นต้องจากไปหมดสิ้น เพราะสังขารทั้งหลายย่อมไม่เที่ยง แม้อยากจะมีอายุยืนสักเท่าใด ก็เป็นแค่ความต้องการเท่านั้น แต่ไม่เคยมีคนชระคนใดที่จะมีชัวิตยืนยาวไปเท่าที่ต้องการได้ ในเวลานั้น ประเทศไทยก็จะเหลือผู้มีบารมีที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คือ ทักษิณ ชินวัตร

ผมว่า "ใครก็ตามได้ทิ้งเภทภัยอันยิ่งใหญ่" ไว้ให้ลูกหลานเขา ด้วยความโง่เขลาโดยแท้

ภายภาคหน้า ปี 2018 หรือน้อยกว่านั้น ลูกหลานเขาจะเผชิญกับ "ศัตรูทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่จำต้องลี้ภัยต่างแดนอย่างเจ็บปวด" แต่มีประชาชนรักและศรัทธามหาศาล ได้อย่างไร
ลูกหลานของเขาเหล่านั้นจะเอาอะไรไปสู้ ก็เหมือนกับทักษิณสู้ไม่ได้ในตอนนี้

ผู้นำชรา ที่ชิงเมืองกับผู้นำที่หนุ่มกว่านั้น ผลลัพท์ใครก็คาดการณ์ได้

การประกาศลี้ภัยของทักษิณ นั้น เท่ากับเป็นการประกาศไม่ยอมรับ "ระับบยุติธรรม" ในขณะนี้นั้นเ้อง และเมื่อมันเป็นเรื่องทางการเมือง การไม่ยอมรับ Regime ที่เขาคิดว่าชั่วร้ายนั้น ถือว่าในอนาคตเขามีสิทธิที่จะเอาคืนสิ่งที่ทำกับเขาไว้ทั้งหมด

กฎหมายนั้น แก้ไขได้โดยรัฐสภา และรัฐสภานั้นควบคุมโดยประชาชน

ใครก็ตาม ได้รับศรัทธาจากประชาชน คน ๆ นั้นสามารถควบคุมรัฐสภาได้
ใครควบคุมรัฐสภาได้ ก็เปลี่ยนแปลงกฎหมายได้

กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ย่อมสามารถยกเลิกได้โดยรัฐสภา

อำนาจของตุลาการ มาจากกฎหมาย กฎหมายมาจากรัฐสภา รัฐสภามาจากประชาชน

ตุลาการที่บิดเบือน ไม่เป็นธรรม ไม่ยืนอยู่บนหลักนิติธรรม ย่อมไม่อาจดำรงอยู่ได้ในที่สุด

ต่อให้ศัตรูของทักษิณ สร้างความไม่เป็นธรรมเอาไว้ แต่ในอนาคตเมื่อ "คนที่มีบารมีของเขาหมดไปแล้ว"

กฎหมายก็ย่อมถูกแก้ไขได้โดยรัฐสภาที่มาจากประชาชน



ผมยังมองไม่ออกเลยว่า "ศัตรูของทักษิณจะรอดได้อย่างไรในศตวรรษที่ 21" นี้

พวกเขาใช้ "ศรัทธาของพวกเขาอย่างสิ้นเปลือง เพียงเพื่อต้องการ โค่นล้มทักษิณ พวกเขาใช้ศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพวกเขาไปจนแทบจะหมดสิ้น ในขณะที่ไม่ได้ทำลายศรัทธาที่ประชาชนมีต่อทักษิณ ลงไปแม้แต่น้อย

ลองวิเคราะห์ดูให้ดีว่า ในสามปีมานี้ ศัตรูของทักษิณเสื่อมศรัทธาลงไปเท่าใด และตัวทักษิณเองนั้น ประชาชนเสื่อมศรัทธาลงไปบ้างหรือไม่

ผลของการใช้ศรัทธาทำลายทักษิณ ก็ทำให้ทักษิณนั้นลำบากลงเพียงเล็กน้อย ต้องไปอยู่ต่างแดน แต่ไม่ตลอดไปแน่นอน แต่ศรัทธาของประชาชนต่อศัตรูทักษิณที่ลดลงไปอย่างมากนั้น จะทำอย่างไร ในอีกห้าหรือสิบปีข้างหน้าเมื่อ ทักษิณกลับมาเหยียบแผ่นดินอีกครั้งหนึ่ง

ศัตรูของทักษิณนั้น ยืนอยู่ได้ด้วยศรัทธาของประชาชนเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจทางกฎหมายมากมายแต่อย่างใด ที่องค์กรต่างๆ จำต้องเชื่อฟังนั้น เพราะเขาเกรงบารมีเท่านั้น

แต่เมื่อไม่มีศรัทธา บารมีก็ลดลง อำนาจทางกฎหมายของพวกเขานั้นไม่มีอยู่แล้ว

พวกเขาจะทำอย่างไรเมื่อ "เกิดการเปลี่ยนแปลงในแผ่นดิน"

บารมีที่คุ้มอยู่หมดไป นกกาที่อยู่ใต้นั้นต้องเผชิญหน้ากับ "ศัตรูที่บรรพชนทิ้งเอาไว้" และบรรพชนได้สร้างความเจ็บปวดให้ศัตรูที่ยิ่งใหญ่นั้น

ทักษิณยังอยู่อีกอย่างน้อยก็ 20 ปี

หรือว่า จะเป็นไปดังคำทำนายกรุงเก่าจริงๆ เกี่ยวกับ

ยุคถิ่นกาขาว
กาไม่เคยมีขาว

ยกเว้นแต่ "จะเห็นกาดำเป็นกาขาว" หรือเห็นผิดเป็นชอบนั้นเอง

สำหรับทักษิณแล้ว การต่อกรกับ "ศัตรูที่มากบารมี" นั้นถึงอย่างไรก็ต่อกรโดยตรงไม่ได้ ต้องรอให้หมดยุคผู้มีบารมีนั้นก่อน

ข้อได้เปรียบของทักษิณต่อนายปรีดี พนมยงค์คือ ทักษิณนั้นหนุ่มกว่า มีเวลาอีกเหลือเฟือ และใช้กลยุทธ์ แบบสุมาอี้ รอคอยได้อย่างใจเย็น

ตอนนี้ผมว่า ฝ่ายที่แทบคลั่งและจะนอนไม่หลับตลอดไปคือ ศัตรูทักษิณนั่นเอง

พวกเขาและระบอบ "อำมาตยาธิปไตยจะอยู่รอดในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างไร

ผมอ่านคำแถลงการณ์ของทักษิณแล้ว มันคือ คำแถลงการณ์ว่า

I shall return นั่นเอง


จาก thaifreenews