--- บทความก่อนหน้านี้ ผมเคยเขียนเอาไว้แล้วว่า ขณะนี้ทักษิณอยู่ใน "พื้นที่สังหาร" ของศัตรูทางการเมืองของเขา ดังนั้น เมื่อตกอยู่ในพืันที่สังหารแล้ว สิ่งที่ต้องทำเบื้องต้นคือ "การรักษาชีวิตให้รอด" ออกจากพื้นที่สังหารให้ได้ก่อน อย่าไปสนใจเรื่องอื่นใดทั้งสิ้น เพราะหาก เอาชีวิตไม่รอด ก็ไม่มีโิอกาส "Counter-attack หรือกลับมาโจมตีตอบโต้อีก ไม่มีทางที่จะต่อสู้ต่อไปได้อีก กฎแห่งการสู้รบคือ รักษาชีวิตของตนเองให้รอดจากสงครามก่อนที่คิดจะทำลายศัตรู เพราะหากไม่มีชีวิตรอด โอกาสที่จะชนะหรือทำลายศัตรูย่อมไม่มีทางเป็นไปได้ การต่อสู้ทางการเมืองนั้น หากผู้นำทางการเมืองยังไม่ตายเรื่องมันก็ไม่จบ แม้เขาจะถูกไล่ฆ่า สิ้นเนื้อประดาต้ว ต้องระหกระเหินแทบเอาชีวิตรอด แต่เมื่อ "ชีวิตเขายังอยู่" สงครามก็ยังไม่จบ เพราะ "สมบัติที่ยิ่งใหญ่ของผู้นำทางการเมือง" ที่คนอื่นๆไม่มี คือ "ศรัทธาของมหาชน" ที่มีต่อเขา และเมื่อเขากลับมา "ประชาชนที่ศรัทธาเขาก็จะเข้ามาร่วมพลังเป็นฐานสนับสนุนเขาทันที นั่นเป็นสมบัติอันยิ่งใหญ่ยิ่งกว่าสมบัติพัสถานใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะ “ศรัทธา” มันทำให้สามารถชิงเมืองกลับมาได้ ตรงกันข้าม ผู้นำที่ประชาชนสิ้นศรัทธาลงไปเรื่อยๆ แม้จะได้ชัยชนะชั่วคราว แต่ในบั่นปลายก็ไม่สามารถรักษาเมืองเอาไว้ได้อย่างแน่นอน ประวัติศาสตร์ของมนุษยชาติเป็นอย่างนี้มาตลอด เมื่อหูตาสว่างแล้ว และยังมีชีวิตรอด ยังมีอิสระภาพอยู่ แม้ว่าจะต้องอยู่ต่างแดน แต่ว่านั้นคือ ยุทธศาตร์ที่ดีที่สุดแล้ว และอยู่ในชัยภูมิที่ข้าศึกจะทำลายไม่ได้อีกแล้ว ออกจากพื้นที่สังหาร และเขตอิทธิพลของศัตรูไปแล้ว ตอนนี้อยู่ที่ว่าจะตีโต้อย่างไร ให้ศัตรูต้องเจ็บปวดที่สุดในชีวิต ชัยชนะของทักษิณนั้นเป็นที่คาดการณ์ได้ แม้ว่าต้องอาศัยเวลาบ้างเล็กน้อยก็ตาม การอยู่ต่างประเทศ แต่ยังอยู่ใน "หมู่บ้านโลก" ในยุคปัจจุบันนี้มันแตกต่างจากยุคโบราณ เพราะยังสามารถส่งข่าวสาร ความคิด ความต้องการ หรือการเคลื่อนไหวต่างๆ เพื่อให้เมืองไทยได้รับรู้ในโลกยุคนี้ย่อมเป็นเรื่องไม่ยากนัก การอยู่ที่ลอนดอนหรือบ้านจันทร์ส่องหล้า ไม่ได้มีความแตกต่างกันแต่อย่างใดในศตวรรษที่ 21 ระบบสื่อสารออนไลน์ต่างๆ ทำให้ระยะทางไม่มีความหมายอีกต่อไป แต่ศัตรูไม่อาจเอื้อมมือไปถึงได้ ทีนี้ศัตรูของทักษิณก็ได้แต่ถูกล้อมกรอบอยู่ในประเทศด้อยพัฒนาเท่านั้น จะอยู่รอดในศตวรรษที่ 21 ท่ามกลางกระแสประชาธิปไตยที่เชี่ยวกราดนี้ไปได้นานสักเท่าใด อนาคตของคนเหล่านี้ ใครมีสติปัญญาก็พอประเมินได้ไม่ยากเย็นอะไรนัก ตอนนี้ ทักษิณจะได้เรียน รู้สักทีว่า "ศัตรูนั้นกะเล่นถึงตาย" หากยังไม่ตัดสินใจต่อสู้อย่างจริงจัง ก็ต้องตายแน่นอน ดังนั้น การหลบออกไป ตั้งฐานที่มั่นในต่างประเทศ หรือจะหยุดสงบจิตสงบใจชั่วคราวก็ไม่เป็นไีร ผู้นำชรา ที่ชิงเมืองกับผู้นำที่หนุ่มกว่านั้น ผลลัพท์ใครก็คาดการณ์ได้ การประกาศลี้ภัยของทักษิณ นั้น เท่ากับเป็นการประกาศไม่ยอมรับ "ระับบยุติธรรม" ในขณะนี้นั้นเ้อง และเมื่อมันเป็นเรื่องทางการเมือง การไม่ยอมรับ Regime ที่เขาคิดว่าชั่วร้ายนั้น ถือว่าในอนาคตเขามีสิทธิที่จะเอาคืนสิ่งที่ทำกับเขาไว้ทั้งหมด อำนาจของตุลาการ มาจากกฎหมาย กฎหมายมาจากรัฐสภา รัฐสภามาจากประชาชน ตุลาการที่บิดเบือน ไม่เป็นธรรม ไม่ยืนอยู่บนหลักนิติธรรม ย่อมไม่อาจดำรงอยู่ได้ในที่สุด ผมยังมองไม่ออกเลยว่า "ศัตรูของทักษิณจะรอดได้อย่างไรในศตวรรษที่ 21" นี้ ลองวิเคราะห์ดูให้ดีว่า ในสามปีมานี้ ศัตรูของทักษิณเสื่อมศรัทธาลงไปเท่าใด และตัวทักษิณเองนั้น ประชาชนเสื่อมศรัทธาลงไปบ้างหรือไม่ ผลของการใช้ศรัทธาทำลายทักษิณ ก็ทำให้ทักษิณนั้นลำบากลงเพียงเล็กน้อย ต้องไปอยู่ต่างแดน แต่ไม่ตลอดไปแน่นอน แต่ศรัทธาของประชาชนต่อศัตรูทักษิณที่ลดลงไปอย่างมากนั้น จะทำอย่างไร ในอีกห้าหรือสิบปีข้างหน้าเมื่อ “ทักษิณกลับมาเหยียบแผ่นดินอีกครั้งหนึ่ง” ศัตรูของทักษิณนั้น ยืนอยู่ได้ด้วยศรัทธาของประชาชนเท่านั้น ไม่ได้มีอำนาจทางกฎหมายมากมายแต่อย่างใด ที่องค์กรต่างๆ จำต้องเชื่อฟังนั้น เพราะเขาเกรงบารมีเท่านั้น แต่เมื่อไม่มีศรัทธา บารมีก็ลดลง อำนาจทางกฎหมายของพวกเขานั้นไม่มีอยู่แล้ว สำหรับทักษิณแล้ว การต่อกรกับ "ศัตรูที่มากบารมี" นั้นถึงอย่างไรก็ต่อกรโดยตรงไม่ได้ ต้องรอให้หมดยุคผู้มีบารมีนั้นก่อนบทความ โดย ลูกชาวนาไทย ทักษิณต้่องรักษาชีวิตให้รอด นั่นคือสิ่งที่ต้องทำเบื้องต้น ในพื้นที่สังหาร
นายพลแม็คอาเธอร์ แม่ทัพใหญ่ภาคพื้นแปซิฟิกของอเมริกาในสงครามโลกครั้งที่สอง ตอนที่ถูกญี่ปุ่นล้อมที่คาบสมุทบาตานในฟิลิปปินส์ จนต้องถอนตัวออกจากฟิลิปปินส์ ได้กล่าววาจาเป็นอมตะเอาไว้ว่า
I shall return หรือ เราจะกลับมาอีก
การประกาศลี้ภัยทางการเมืองของทักษิณครั้งนี้ ผมถือว่าเหมาะสมแล้ว เพราะการต่อสู้มันยังไม่จบง่ายๆ ถึงอย่างไร ประเทศไทยก็ไม่มีทางย้อนกลับไปสู่ยุคกลาง ยุคอำมาตยาธิปไตยได้ การตัดสินใจครั้งนี้ของทักษิณ ถือว่าเป็นการตัดสินใจอย่างถูกต้องที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา หลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ที่ทักษิณตัดสินใจผิดพลาดมาตลอด ตั้งแต่ไม่สู้ และยอมเชื่อโทรศัพท์ลึกลับทั้งหลาย ตอนนี้คงหูตาสว่างแล้ว
รอให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแผ่นดินก่อน ค่อยเคลื่อนไหวอีกครั้งหนึ่ง (สำนวนเหมือนขงเบ้งในสามก๊กที่กำหนดยุทธศาสตร์ให้เล่าปี ให้ยกทัพไปตั้งตัวที่เฉฉวน รอคอยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในแผ่นดิน ค่อยยกทัพมาเอาบ้านเมืองคืน)
ผมถือว่า "การขอลี้ภัยทางการเมือง" คือการต้ัดสินใจที่ถูกต้องที่สุดในสายตาของผม
ตอน นี้ประเทศไทยมี "ผู้มีบารมียิ่งใหญ่ที่แท้จริง" ไม่กี่คนเท่านั้น (ผมไม่อยากบอกจำนวนว่ามีกี่คน) ที่ได้รับศรัทธาจากประชาชนอย่างแท้จริง เป็น "บารมีที่แท้จริงไม่ใช่จอมปลอม" หนึ่งในนั้นคือ "ทักษิณ ชินวัตร" และทักษิณก็เป็นผู้มีบารมีที่แท้จริงที่อายุน้อยที่สุด
รออีกสิบปีผู้มีบารมีคนอื่นต้องจากไปหมดสิ้น เพราะสังขารทั้งหลายย่อมไม่เที่ยง แม้อยากจะมีอายุยืนสักเท่าใด ก็เป็นแค่ความต้องการเท่านั้น แต่ไม่เคยมีคนชระคนใดที่จะมีชัวิตยืนยาวไปเท่าที่ต้องการได้ ในเวลานั้น ประเทศไทยก็จะเหลือผู้มีบารมีที่แท้จริงเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้น คือ ทักษิณ ชินวัตร
ผมว่า "ใครก็ตามได้ทิ้งเภทภัยอันยิ่งใหญ่" ไว้ให้ลูกหลานเขา ด้วยความโง่เขลาโดยแท้
ภายภาคหน้า ปี 2018 หรือน้อยกว่านั้น ลูกหลานเขาจะเผชิญกับ "ศัตรูทางการเมืองที่ยิ่งใหญ่ที่จำต้องลี้ภัยต่างแดนอย่างเจ็บปวด" แต่มีประชาชนรักและศรัทธามหาศาล ได้อย่างไร ลูกหลานของเขาเหล่านั้นจะเอาอะไรไปสู้ ก็เหมือนกับทักษิณสู้ไม่ได้ในตอนนี้
กฎหมายนั้น แก้ไขได้โดยรัฐสภา และรัฐสภานั้นควบคุมโดยประชาชน
ใครก็ตาม ได้รับศรัทธาจากประชาชน คน ๆ นั้นสามารถควบคุมรัฐสภาได้
ใครควบคุมรัฐสภาได้ ก็เปลี่ยนแปลงกฎหมายได้
กฎหมายที่ไม่เป็นธรรม ย่อมสามารถยกเลิกได้โดยรัฐสภา
ต่อให้ศัตรูของทักษิณ สร้างความไม่เป็นธรรมเอาไว้ แต่ในอนาคตเมื่อ "คนที่มีบารมีของเขาหมดไปแล้ว"
กฎหมายก็ย่อมถูกแก้ไขได้โดยรัฐสภาที่มาจากประชาชน
พวกเขาใช้ "ศรัทธาของพวกเขาอย่างสิ้นเปลือง” เพียงเพื่อต้องการ “โค่นล้มทักษิณ” พวกเขาใช้ศรัทธาของประชาชนที่มีต่อพวกเขาไปจนแทบจะหมดสิ้น ในขณะที่ไม่ได้ทำลายศรัทธาที่ประชาชนมีต่อทักษิณ ลงไปแม้แต่น้อย
พวกเขาจะทำอย่างไรเมื่อ "เกิดการเปลี่ยนแปลงในแผ่นดิน"
บารมีที่คุ้มอยู่หมดไป นกกาที่อยู่ใต้นั้นต้องเผชิญหน้ากับ "ศัตรูที่บรรพชนทิ้งเอาไว้" และบรรพชนได้สร้างความเจ็บปวดให้ศัตรูที่ยิ่งใหญ่นั้น
ทักษิณยังอยู่อีกอย่างน้อยก็ 20 ปี
หรือว่า จะเป็นไปดังคำทำนายกรุงเก่าจริงๆ เกี่ยวกับ
ยุคถิ่นกาขาว
กาไม่เคยมีขาว
ยกเว้นแต่ "จะเห็นกาดำเป็นกาขาว" หรือเห็นผิดเป็นชอบนั้นเอง
ข้อได้เปรียบของทักษิณต่อนายปรีดี พนมยงค์คือ ทักษิณนั้นหนุ่มกว่า มีเวลาอีกเหลือเฟือ และใช้กลยุทธ์ แบบสุมาอี้ รอคอยได้อย่างใจเย็น
ตอนนี้ผมว่า ฝ่ายที่แทบคลั่งและจะนอนไม่หลับตลอดไปคือ ศัตรูทักษิณนั่นเอง
พวกเขาและระบอบ "อำมาตยาธิปไตยจะอยู่รอดในศตวรรษที่ 21 ได้อย่างไร
ผมอ่านคำแถลงการณ์ของทักษิณแล้ว มันคือ คำแถลงการณ์ว่า
I shall return นั่นเอง