WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, August 15, 2008

อายัดทรัพย์ 7.6 หมื่นล้านบทพิสูจน์ “อยุติธรรม”

มีการพูดจากว้างขวางในประเทศและต่างประเทศ ถึงแถลงการณ์ของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ขอลี้ภัยทางการเมืองไปอยู่ประเทศอังกฤษ โดยทิ้งระเบิดลูกเบ้อเริ่มในความไม่เชื่อมั่น ไม่เชื่อถือ “กระบวนการยุติธรรม” ของประเทศไทย

ข้อพิสูจน์สำคัญนั้นคือการอำนาจของ คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ หรือ คตส. ที่ทำการ อายัดทรัพย์ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร 7.6 หมื่นล้านบาท โดยเป็นการไล่ยึดทุกบัญชี โดยไม่มีหลักฐานสนับสนุนในการกระทำผิดในทรัพย์ก้อนนี้เป็นเงินส่วนใดที่ทุจริต เงินส่วนใดที่เป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยชอบ เนื่องจากการทำการค้าขายอันปกติประกอบไปด้วย 1.ธนาคารกสิกรไทย 36 ล้านบาท 2.ธนาคารกรุงเทพ 18,156 ล้านบาท 3.ธนาคารกรุงศรีอยุธยา 2,125 ล้านบาท 4.ธนาคารทหารไทย 10 ล้านบาท 5.ธนาคารไทยพาณิชย์ 39,634 ล้านบาท 6.ธนาคารธนชาต 1,476 ล้านบาท 7.ธนาคารนครหลวงไทย 1 ล้านบาท 8.ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร 500 ล้านบาท 9.ธนาคารยูโอบี 492 ล้านบาท 10.ธนาคารออมสิน 15,748 ล้านบาท 11.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ 200 ล้านบาท 12.ธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย 10,000 ล้านบาท 13.บลจ.กสิกรไทย 208 ล้านบาท 14.บลจ.ไทยพาณิชย์ 2,237 ล้านบาท 15.บลจ.แอสเซทพลัส 172 ล้านบาท และ 16.ศูนย์รับฝากหลักทรัพย์และที่ดิน 2,722 ล้านบาท
เป็นที่รู้กันดีว่า ตระกูลชินวัตร ร่ำรวยจากผลประกอบกิจการ โทรคมนาคม หรือ โทรศัพท์มือถือ ในค่าย เอไอเอส ซึ่งเริ่มก่อร่างสร้างธุรกิจมาเป็นเวลาหลายสิบปี ทุกรัฐบาล ทุกพรรค ให้การสนับสนุน มี คู่แข่ง คือ ดีแทค และ ทรูมูฟ
เรื่องนี้ ค้างคา อยู่ที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ หรือ ป.ป.ช. ในฐานะที่ต้องดำเนินการต่อจาก คตส. ซึ่งประชาชนทั้งประเทศได้รับรู้ และศาลได้พิพากษาให้ ป.ป.ช. ทำหน้าที่เป็นโจทก์แทน คตส. คล้ายๆ กับเป็นการรับมรดกต่อเนื่องจาก คตส. นั่นเอง แต่ ป.ป.ช. บอกว่า กฎหมายไม่ได้ให้อำนาจพิจารณาใดๆ เลย

วันนี้หาคำตอบไม่ได้ว่า พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร จะไปตามทวงคืนทรัพย์สิน 7.6 หมื่นล้านได้ที่ไหน จะไปยืนยันความได้มาได้ที่หน่วยงานราชการใด ธนาคารแห่งประเทศไทย บอกว่าไม่มีอำนาจ ตำรวจบอกว่าไม่มีอำนาจ ป.ป.ช. บอกว่าไม่มีอำนาจ เหมือนกับที่ประชาชนไปติดต่อราชการ โยนกันไปโยนกันมา เดินในตึกไปทางซ้ายที ขวาที ขึ้นลิฟต์ลงลิฟต์ ไม่รู้ว่าใครเป็นคนมีอำนาจกันแน่

การใช้อำนาจของ คตส. “ยึดทรัพย์ก้อนมหึมา” โดยไม่แยกแยะว่าเงินส่วนใดบ้างที่เกี่ยวข้องกับการกระทำผิด และเงินส่วนใดไม่เกี่ยวข้อง นั้นเป็นคำถามค้างคาใจ
* การกระทำแบบนี้คือสิ่งที่ ถูกต้อง เป็นธรรม ในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย ใช่หรือไม่?
* มาตรฐานการใช้กระบวนการยุติธรรมนี้ หากเป็นธรรม ทำไมจึงยกเลิกไปเสียล่ะ หรือใช้เฉพาะคนคนเดียวแล้วจบกันเท่านั้น แบบนี้หรือคือความยุติธรรมในกระบวนการยุติธรรมของประเทศไทย
* น่าแปลกใจไหม นักการเมืองฝ่ายตรงข้ามพรรคไทยรักไทยมากมาย บริสุทธิ์ 100% แล้วหรือ ทำไมไม่ไปยึดทรัพย์ในลักษณะเช่นนี้บ้าง
เป็นเรื่องที่ สาธารณชนในประเทศไทย และ ชาวโลกอีกหลายร้อยชาติ จะต้องใช้ดุลพินิจพิจารณา
“พวกเอ็งโดนตรวจสอบ พวกข้าไม่ต้องตรวจสอบ”
“พวกเอ็งโดนยึดทรัพย์ พวกข้าไม่ต้องยึดทรัพย์”

การออกมายืนยันว่า กระบวนการยุติธรรมในประเทศไทยมีความยุติธรรม แล้วเกิดชาวโลกเขาไม่เชื่อ เขาเชื่อ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ประเทศไทยจะเสียหาย ในทางกลับกันหากเราจะยอมรับความจริง กระบวนการหลัง โจรปล้นประชาธิปไตย 19 กันยายน 2549 เกิดขึ้นนั้นไม่ยุติธรรมจริงๆ หวังเล่นงานข้างเดียว

ถึงขนาดประกาศ คปค. ที่แต่งตั้ง คตส. มีการระบุอย่างชัดเจนว่า เอาเฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับรัฐบาล “ทักษิณ” แค่นี้ก็เห็นความเจตนาในความคิดทุรยศแล้ว

วันนี้สังคมไทยควรจะต้องพิจารณาปรับรื้อกระบวนการยุติธรรม เพื่อให้เกิดความยุติธรรม ในชาติขึ้นมา อย่างเสมอภาคและเป็นธรรม ไม่ใช่ “พรรคพวกเอ็งทำผิดหมด พรรคพวกข้า ไม่ผิดเลย” มี 2 ข้าง ตัดสินให้น้ำหนักต่างกัน ใครก็รู้มันไม่ยุติธรรม ไม่แตกต่างกับ “ตราชู” ที่เอียงกระเท่เร่ หากนำมาชั่งน้ำหนักของทั้ง 2 ฝ่าย