WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Friday, August 15, 2008

คอลัมน์ : ตาต่อตา ฟันต่อฟัน

“...ใครมีกิเลส อยากมีอยากเป็นใหญ่อย่างไร ผมไม่ว่ากระไรหรอกครับ แต่หากจะนำสภาทนายความอันมีศักดิ์ศรีและมีเกียรติไปใช้เพียงเพื่อสนองความอยากของตนแล้วทนายความทุกคนคงยอมไม่ได้...”

สภาทนายความ
ผมเป็นนักกฎหมายและวิชาชีพกฎหมายที่เป็นอยู่ก็คือ การเป็นทนายความ ผมเป็นทนายความมาทั้งชีวิตการทำงานเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เลี้ยงตัวเองและครอบครัวจนสร้างฐานะมาจนทุกวันนี้ก็เป็นเงินจากวิชาชีพ ทนายความทั้งสิ้น วิชาชีพทนายความเป็นความภาคภูมิใจของผม เพราะ นอกจากจะสร้างรายได้ดังกล่าวแล้ว ผมยังใช้ความรู้ช่วยเหลือ ผู้ด้อยโอกาส ถูกเอารัดเอาเปรียบโดยเฉพาะทางด้านกฎหมาย ตามอุดมการณ์ที่ผมมี ตามที่ผมต้องการทำได้ เนื่องจากวิชาชีพทนายความ มีความเป็นอิสระ คนเป็นทนายความไม่ได้ขึ้นอยู่กับใคร นอกจากตัวเอง วิชาชีพนี้เป็นที่ใฝ่ฝันของนักกฎหมายจำนวนไม่น้อย และผมมั่นใจว่าทนายความทุกคนในประเทศ ต่างภาคภูมิใจในวิชาชีพและมุ่งหวังที่จะให้องค์กรวิชาชีพอย่างสภาทนายความเป็นสถาบันอันทรงเกียรติมีศักดิ์ศรี มีความเป็นอิสระ ไม่อยู่ภายใต้อาณัติใคร เนื่องจากสมาชิกสภาทนายความ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้นำทางความคิดของสังคม โดยเฉพาะทางด้านกฎหมาย และสมาชิกซึ่งเป็นทนายความเหล่านั้นต่างอยู่ครอบคลุมไปทุกพื้นที่ของประเทศ กล่าวได้ว่าทนายความเป็นที่ยอมรับนับถือจากสังคม หรือองค์กรต่างๆ ด้วยความเชื่อมั่นว่าทนายความ คือวิชาชีพของบุคคลที่ทรงเกียรติ ดังนั้นการแสดงความคิดเห็นของทนายความไม่ว่าจะในระดับท้องถิ่นหรือระดับประเทศ ก็จะเป็นที่รับฟัง แต่ในทางตรงกันข้าม หากทนายความคนใดมีความประพฤติอันไม่เหมาะสม สังคมก็จะตำหนิติเตียน และในที่สุดก็จะไม่ได้รับความเชื่อถือจนทนายความคนนั้นไม่อาจจะอยู่ในสังคมนั้นต่อไปได้
นี่คือสภาพความเป็นจริงในสังคมไทย จึงทำให้ทนายความต้องวางตนให้เหมาะสม การแสดงความคิดเห็นโดยเฉพาะทางด้านกฎหมาย ทนายความจึงต้องกระทำให้สมกับเป็นนักกฎหมายอย่างเต็มภาคภูมิ ทั้งนี้เพื่อให้เป็นที่ยอมรับจากประชาชน และเพราะทนายความเป็นหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม การปฏิบัติหน้าที่ทนายความเป็นหนึ่งในกระบวนการยุติธรรม การปฏิบัติหน้าที่ทนายความจึงเป็นกลไกสำคัญในการผดุงความยุติธรรม ทั้งนี้ก็เพื่อให้กฏหมายมีความศักดิ์สิทธิ์และทำให้บ้านเมืองมีความสงบสุขและเรียบร้อย
สภาทนายความ คือสถาบันอันสำคัญเพราะเป็นสถาบันกฎหมายอันเป็นเสาหลักทางด้านกฎหมายของบ้านเมือง และอาจเป็นสถาบันกฎหมายเดียวที่มีความเป็นอิสระ ดังนั้นจึงควรปราศจาการเมือง ไม่อยู่ภายใต้อาณัติของคนคนหรือกลุ่มองค์กรใด การดำเนินการหรือแสดงความคิดเห็นใดๆ จึงควรต้องอยู่ภายใต้หลักการดังกล่าว จึงจะทำให้เป็นที่ยอมรับจากประชาชน
แต่ดูเหมือนว่าในยุคที่นำโดยนายกสภาคนปัจจุบันสภาทนายความกลับถูกตั้งคำถามจากสังคมว่า สภาทนายความได้กระทำการอันไม่เหมาะสมหรือไม่ มีการถูกครอบงำโดยผู้มีอำนาจบางคนแล้วหรืออย่างไร เพราะบทบาทของสภาทนายความที่ได้แสดงออกมา ล้วนแล้วแต่เพื่อสนองรับใช้กลุ่มผู้มีอำนาจ หรือเผด็จการ หรือว่ามีใครบางคนในสภาทนายความ หวังเพียงจะใช้สถาบันอันน่าเชื่อถือนี้ เป็นบันได้ไต่เต้าไปสู่ตำแหน่งอื่น ไม่ว่าในทางการเมืองหรือองค์กรใด อย่างที่เคยทำกันมาในอดีต
แทนที่สภาทนายความซึ่งต้องยึดมั่นในการปกครองระบอบประชาธิปไตย จะออกมาต่อต้านเผด็จการสภาทนายความกลับออกมาสนับสนุนยกย่อง และยอมตนไปรับใช้ ทั้งที่เผด็จการคือผู้เข้ามาทำลายหลักนิติรัฐขณะที่เผด็จการได้เข้าแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมได้ยึดหลักนิติธรรม โดยตั้ง คตส.ขึ้นมาทำการสอบสวนอันเป็นกระบวนการยุติธรรมชั้นต้น ซึ่งหนึ่งในนั้นเป็นอดีตนายกสภาทนายความ แทนที่สภาทนายความจะแสดงจุดยืนอย่างชัดเจนในการไม่ร่วมกับเผด็จการ แต่สภาทนายความกลับกระทำการสนับสนุนช่วยเหลือ โดยแท้เป็นทนายความให้คตส. ซึ่งเปรียบเสมือนกากเดนของเผด็จการ
ทั้งที่ คตส. ถูกตั้งข้อสงสัยว่า ว่ามิได้สอบสวนโดยยึดหลักนิติธรรม แต่สภาทนายความกลับไม่ใส่ใจและนำพา กลับกระโดดเข้าใส่ ทั้งที่ทำการดังกล่าวมิใช่วัตถุประสงค์ตามกฎหมายของสภาทนายความ ทั้งการกระทำ ดังกล่าว ถือว่าเป็นการกระทำโดยพลการ ปราศจากความเห็นชอบของสมาชิก
นายกสภาทนายความไม่เข้าใจหรือว่า สภาทนายความไม่ใช่กิจการส่วนตัวของตน หรือของอดีต นายก, ที่ชื่อสัก กงแสงเรือง ในวันนี้สภาทนายความกำลังสร้างความอัปยศขึ้นอีกครั้ง โดยการออกแถลงการณ์ประณามอดีตนายกรัฐมนตรี ที่อ้างว่า กระบวนการยุติธรรมถูกแทรกแซง
เป็นการแถลงการณ์โดยสภาทนายความ ซึ่งหมายถึงทนายความทั้งประเทศ ทั้งที่ทนายความจำนวนมากไม่เห็นด้วย และนี่คือความอัปยศอดสูที่เกิดขึ้นอีกครั้งของสภาทนายความ เพราะใครก็ตามที่ตาไม่ได้มืดบอด เพราะความทะยานอยากตามกิเลสของตน ย่อมรู้ดีว่าเวลานี้กระบวนการยุติธรรมอยู่ในขั้นวิกฤติ และยิ่งเป็นนักกฎหมายที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมแล้ว ย่อมยิ่งจะรู้ดียิ่งกว่า
หรือเฉพาะสภาพทนายความ เท่านั้นที่ไม่รู้เรื่องนี้
ใครมีกิเลส อยากมีอยากเป็นใหญ่อย่างไร ผมไม่ว่ากระไรหรอกครับ แต่หากจะนำสภาทนายความอันมีศักดิ์ศรีและมีเกียรติไปใช้เพียงเพื่อสนองความอยากของตนแล้วทนายความทุกคนคงยอมไม่ได้
เพราะเท่าที่ผ่านมาสภาอันทรงเกียรติแห่งนี้ได้เสื่อมทรามลง จนเกินจะให้อภัยแล้วครับ...