วีระ- ณัฐวุฒิ - จตุพร ลั่นไม่อยมรับ ปปช. เถื่อน เผยยังไม่ลดละความพยายามนำทุกเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลของ ป.ป.ช. มาเปิดเผยต่อพี่น้องประชาชนให้รู้ความจริงต่อแน่นอน แนะผู้ถูกตรวจสอบอย่ายอมรับเพราะมีที่มาไม่ถูกต้อง
รายการความจริงวันนี้เมื่อคืนวันที่ 14 ส.ค. ทางสถานีโทรทัศน์ NBT ดำเนินรายการโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ อดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.สัดส่วนกลุ่ม 6 พรรคพลังประชาชน ร่วมดำเนินรายการ
โดยเนื้อหาหลักได้กล่าวถึงกรณีที่คณะกรรมการ ป.ป.ช. มีมติตั้งคณะอนุกรรมการสอบสวน นายเผชิญ ขำโพธิ์ อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ ในกรณีที่มีผู้ร้องเรียนว่าปฏิบัติหน้าที่มิชอบกรณีที่อนุญาติให้มีการเผยแพร่รายการ “ความจริงวันนี้” โดยระบุว่าเป็นการดำเนินรายการที่เสนอข้อมูลอย่างบิดเบือน มีการกล่าวให้ร้ายผู้อื่นอยู่ฝ่ายเดียว ถือเป็นการละเมิดสิทธิของผู้อื่น
ผู้ดำเนินรายการทั้ง 3 ได้ร่วมกันกล่าวว่า รายการของพวกตนนั้น ไม่เคยกล่าวให้ร้ายใครเลย สิ่งที่พวกเรากล่าวต่างมีหลักฐานและมูลเหตุความจริงเสมอ และก็จะทำต่อไปไม่หยุด อีกทั้งการจัดรายการทุกครั้งพวกตนก็ได้เรียกร้องให้คน หรือองค์กรที่ถูกพาดพิง ออกมาแก้ข้อกล่าวหาในรายการแล้ว แต่ที่ผ่านมากลับไม่เคยมีใครติดต่อมาเองต่างหาก ทั้งนี้ขอยืนยันว่า เราจะทำหน้าที่เปิดโปงความจริงของเราต่อไป และเราจะไม่ปิดโอกาสเลย หากใครถูกพาดพิงแล้วอยากจะมาพูดคุยในรายการก็ได้เสมอ
อย่างไรก็ตาม พวกตนยืนยันว่าจะดำเนินรายการนี้ต่อไป เพื่อนำความจริงต่าง ๆ มาเปิดเผยกับสังคม โดยเฉพาะในส่วนของ ป.ป.ช. ไม่ต้องห่วงเพราะพวกตนก็ยังไม่ลดละความพยายาม จะนำทุกเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลของ ป.ป.ช. มาเปิดเผยต่อแน่นอน และสิ่งที่เกิดขึ้นนี้พวกตนก็ไม่ได้ไหวหวั่นแม้แต่นิดเดียว จะกังวลอยู่เล็กน้อยก็คือ ห่วงใยอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์เท่านั้น ที่เหมือนจะต้องมาลำบากเพราะพวกตน
ด้านนายจตุพร พรหมพันธุ์ กล่าวว่า ส่วนตัวแล้วตนไม่ยอมรับในตัว ป.ป.ช. ชุดนี้มานานแล้ว และก็อยากเรียกร้องให้อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ และทุกคน ทุกฝ่าย ที่ถูก ป.ป.ช. ดำเนินคดีอยู่ว่า ไม่ต้องให้ความร่วมมือ โดยใช้เหตุผลเดียวกับนายสมัคร สุนทรเวช นายกรัฐมนตรีที่เคยให้ไว้เมื่อครั้งไม่ยอมไปให้ปากคำต่อ ป.ป.ช. ที่เรียกไปสอบในคดีรถ –เรือดับเพลิง นั่นคือ ไม่ยอมรับ คณะกรรมการ ป.ป.ช.ชุดนี้ เนื่องจากมีที่มาไม่ถูกต้อง
“ผมขอประกาศไว้เลย ว่าถ้าเป็นผมจะใช้วิธีเดียวกับนายสมัคร สุนทรเวช ที่ไม่ยอมรับ ป.ป.ช. ชุดนี้ เพราะไม่ได้มีที่มาอย่างถูกต้อง” นายจตุพร กล่าว
นอกจากนี้ผู้ดำเนินรายการรยังได้กล่าวถึงกรณีที่ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้แจกจ่ายหนังสือปกขาว ที่จัดทำขึ้นเพี่อชี้แจงที่มาและผลการทำงานของ ป.ป.ช. จำนวน 20,000 เล่ม ในช่วงเช้าของวันที่ 14 ที่ผ่านมา โดยมีเนื้อหาสำคัญระบุว่าป.ป.ช. มีที่มาอย่างถูกต้อง เพราะมีหนังสือยืนยันจากสำนักราชเลขาธิการว่า ป.ป.ช. ได้รับการแต่งตั้งโดย พล.อ.สนธิ บุญญรัตกลิน หัวหน้าคณะรัฐประหาร ซึ่งมีอำนาจเป็นรัฐฎาธิปัตย์ในขณะนั้น จึงมีที่มาอย่างชอบธรรม และสามารถทำงานได้อย่างถูกต้อง
ทั้งนี้ผู้ดำเนินรายการ ระบุว่า อย่างไรเสียข้อมูลที่ระบุในหนังสือดังกล่าวก็บิดเบือนอยู่ดี เพราะหาก ป.ป.ช. จะอ้างว่า พล.อ.สนธิเป็นองค์รัฐฎาธิปัตย์จริง แล้วเหตุใด ตัว พล.อ.สนธิ เองจึงยังต้องขอโปรดเกล้าฯ เพื่อให้ตัวเองดำรงตำแหน่งเป็นประธาน คมช. หรือแม้แต่ คณะรัฐมนตรีของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ทั้งคณะที่ได้รับการแต่งตั้งจาก พล.อ.สนธิ เช่นกัน แล้วทำไมจึงยังต้องเข้ารับการโปรดเกล้าฯ เพราะถ้ายึดหลักรัฐฎาธิปัตย์อย่างที่กล่าวอ้างจริง รัฐบาลสุรยุทธ์ ก็ไม่จำเป็นต้องรับการโปรดเกล้าฯ มิใช่หรือ
นอกจากนี้ยังได้กล่าวอ้างถึง การแต่งตั้งเลขาธิการ ของสำนักงานป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน (ป.ป.ง.) ด้วยว่า การแต่งตั้งเลขาฯ ของ ป.ป.ง. คนปัจจุบันนั้น ก็ได้รับการแต่งตั้งในขณะที่ พล.อ.สนธิ มีตำแหน่งเป็นองค์รัฐฎาฐิปัตย์ เช่นกัน แต่ต่างกับ ป.ป.ช. ตรงที่แม้เลขาฯ ป.ป.ง. จะได้รับแต่งตั้งจาก พล.อ.สนธิแล้ว ก็ยังไม่ได้เริ่มทำงาน แต่ได้ยื่นเรื่องไปยังสำนักราชเลขาฯ เพื่อรอการโปรดเกล้าฯ ก่อน เมื่อได้รับการโปรดเกล้าฯ แล้วจึงค่อยเริ่มทำงาน
ส่วน ป.ป.ช. นั้น เมื่อได้รับการแต่งตั้งจาก พล.อ.สนธิแล้ว กลับทำงานทันที แล้วจึงค่อยติดต่อไปยังสำนักราชเลขาฯ ว่าให้มีคำสั่งโปรดเกล้าฯ ย้อนหลัง ซึ่งพวกตนมองว่า สาเหตุที่สำนักราชเลขาฯ ตอบกลับมาว่าไม่ต้องโปรดเกล้าฯ อาจเป็นเพราะเห็นว่า ป.ป.ช. ได้ทำงานล่วงหน้าไปแล้วหรือเปล่า เมื่อทำงานไปก่อนแล้ว โดยไม่ขอโปรดเกล้าฯ คงไม่จำเป็นต้องโปรดเกล้าฯ อีกก็เป็นได้
ผู้ดำเนินรายการจึงกล่าวสรุปว่า ไม่ว่าอย่างไร ป.ป.ช. ก็ไม่ชอบด้วยกฎหมายอยู่ดี เพราะ ป.ป.ช. ล่วงพระราชอำนาจ บังอาจเข้ามาทำงานโดยไม่ได้รับการโปรดเกล้าฯ ถึงอย่างไรพวกตนก็ไม่ยอมรับ แล้วก็ขอเรียกร้องให้คนทั่วไปไม่ยอมรับด้วย อีกทั้งเรื่องนี้จะไม่จบง่าย ๆ แน่ เพราะพวกตนจะเรียกร้องไปอย่างนี้ไม่มีหยุด ดังนั้นทางออกที่ดีทีสุดของ ป.ป.ช. ในวันนี้ ก็คือ ให้ออกไปเสีย และหากอยากจะเข้ามาทำหน้าที่อีก ก็ค่อยเข้าสู่กระบวนการสรรหาใหม่