ที่มา โลกวันนี้ อ่านคำให้สัมภาษณ์ของนายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการรัฐศาสตร์ ที่พูดถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่าเป็นคน 2 โลก เพราะเวลาพูดกับโลกที่เป็นภาษาอังกฤษ คือทูตานุทูตก็จะพูดแบบหนึ่ง วิธีอธิบายแบบหนึ่ง เช่น รัฐบาลพยายามควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบ หรือผู้ชุมนุมเป็นฝ่ายใช้ความรุนแรงกับเจ้าหน้าที่รัฐก่อน แต่พอพูดกับคนในประเทศ นายอภิสิทธิ์จะบอกว่า ผู้ชุมนุมเป็นพวกแดงล้มเจ้า เป็นพวกผู้ก่อการร้ายและมีอาวุธรุนแรง มองประชาชนที่อยู่ตรงข้ามหรือมีความเห็นแตกต่างเป็นศัตรู นายอภิสิทธิ์สามารถพูดเรื่องเดียวกันโดยมีเหตุผล 2 ชุด ซึ่งคนจำนวนหนึ่งเชื่อและคล้อยตาม แต่คนอีกจำนวนหนึ่งก็ไม่เชื่อ เพราะคนพวกหลังนี้เขาติดตามข้อมูลข่าวสารทุกด้านเท่าที่จะหาได้ ไม่ใช่ข้อมูลด้านเดียวที่รัฐบาลและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ยัดเยียดผ่านสื่อกระแสหลัก โดยเฉพาะทูตานุทูตและนักลงทุนนั้นมีการติดตามข้อมูลข่าวสารทั้งทางตรงและทางอ้อมที่มากกว่าประชาชนทั่วไป ทั้งยังเข้าใจดีถึงคำว่า “ผู้ก่อการร้าย” เช่นเดียวกับคำว่า “ประชาธิปไตย” กับ “เผด็จการ” แตกต่างกันอย่างไร ดังนั้น การที่รัฐบาลอ้างความจำเป็นที่ต้องประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินต่อไป จึงฟ้องสถานการณ์ของประเทศไทยและเสถียรภาพของรัฐบาลชัดเจนอยู่แล้วว่ามีความมั่นคง หรือเปราะบางเพียงใด เหมือนที่สื่อและนิตยสารระดับโลกวิเคราะห์ว่า ขณะนี้นายอภิสิทธิ์แค่พยายามสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ยังใช้อำนาจที่มีอยู่เร่งกวาดล้างและจับกุมคนเสื้อแดง จึงมีแต่เติมเชื้อความรุนแรงที่ยากจะเยียวยา ไม่ใช่การปรองดองอย่างที่นายอภิสิทธิ์ออกมาประกาศ หากนายอภิสิทธิ์ต้องการสร้างความปรองดองจริงต้องแสดงออกด้วยการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต้องสั่งให้ ศอฉ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเลิกไล่ล่า กล่าวหา จับกุมคนเสื้อแดงและนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม แต่ไม่ใช่ละเว้นการกระทำผิด เพราะทุกคนต้องยอมรับข้อบังคับของกฎหมาย โดยการนำมาดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมตามปรกติ ไม่ใช้อำนาจภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ให้อำนาจในการกล่าวหาและควบคุมตัวโดยไม่มีหลักฐานใดๆ แค่สงสัยก็สามารถควบคุมตัวได้ถึง 30 วัน แม้แต่การห้ามทำธุรกรรมทางการเมืองอย่างที่ผ่านมา ซึ่งหากนายอภิสิทธิ์ยังดื้อดึงใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป เท่ากับไม่มีความจริงใจที่จะสร้างความปรองดองหรือปฏิรูปประเทศ อีกทั้งยังถูกครหาว่าใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อข่มขู่และกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้าม โดยเฉพาะประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งวันนี้นายอภิสิทธิ์เองพยายามฟอกตัวเองและพวกพ้องให้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาฆ่าและทำร้ายประชาชน โดยการตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ก็ถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นกลางและความเป็นอิสระ ซึ่งนายอภิสิทธิ์เคยกล่าวครั้งรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จริงเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ว่าสังคมจะยอมรับหรือไม่ เมื่อรัฐบาลตั้งขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะเอาใครมาเป็นประธานหรือกรรมการก็ตาม แต่วันนี้กลับทำตรงข้ามกับที่เคยพูด ทั้งยังเพิกเฉยเสียงที่คัดค้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เช่นเดียวกับการเรียกร้องให้รับผิดชอบประชาชนและทหารเกือบ 100 ศพในเหตุการณ์ 10 เมษายนและ 13-19 พฤษภาคมที่ผ่านมา โลกของนายอภิสิทธิ์จึงมีแต่มิติที่สดใสและไร้อุปสรรค เพราะทุกอย่างอยู่ที่ว่าจะพูดอย่างไร และกับใคร ไม่ว่าจะเรื่องการปรองดอง การปฏิรูปประเทศ การปฏิรูปการเมืองหรือการเมืองภายในพรรคร่วมรัฐบาล แม้แต่มิติของความเป็นผู้นำประเทศที่สร้างบรรทัดฐานใหม่ทางการเมืองไทย ที่จะไม่ลาออกหรือยุบสภา แม้จะทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมากมาย โดยอ้างความชอบธรรมจากคำว่า “นิติรัฐ” และการใช้สำนวนโวหารคำว่า “ขอพื้นที่คืน” และ “กระชับพื้นที่” ในการกล่าวหาและใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ก่อการร้ายและล้มสถาบัน ประชาธิปไตยของนายอภิสิทธิ์จึงเหมือนการสวมหน้ากากและมัดมือชกให้เชื่อในสิ่งที่พูด ใครไม่เชื่อหรือต่อต้านก็กลายเป็นผู้ก่อการร้าย ไม่รักชาติ ไม่รักสถาบัน การสร้างความปรองดองจึงเป็นไปไม่ได้ตราบใดที่นายอภิสิทธิ์ยังนั่งอยู่บนซากศพและกองเลือด และในหัวใจไม่มีคำว่า “ประชาชน” โดยเฉพาะการปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปการเมืองให้ประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้น ต้องมาจากประชาชนและเป็นของประชาชน ไม่ใช่ประชาธิปไตยของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งคอลัมน์ ทรรศนะการเมือง จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้ ปีที่ 11 ฉบับที่ 2818 ประจำวัน จันทร์ ที่ 14 มิถุนายน 2010 โดย สุรชัย ปากช่อง