WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, June 14, 2010

“อภิสิทธิ์”คน2โลก

ที่มา โลกวันนี้


คอลัมน์
ทรรศนะการเมือง
จากหนังสือพิมพ์ โลกวันนี้
ปีที่ 11 ฉบับที่ 2818 ประจำวัน จันทร์ ที่ 14 มิถุนายน 2010
โดย สุรชัย ปากช่อง

อ่านคำให้สัมภาษณ์ของนายศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์ นักวิชาการรัฐศาสตร์ ที่พูดถึงนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ว่าเป็นคน 2 โลก เพราะเวลาพูดกับโลกที่เป็นภาษาอังกฤษ คือทูตานุทูตก็จะพูดแบบหนึ่ง วิธีอธิบายแบบหนึ่ง เช่น รัฐบาลพยายามควบคุมสถานการณ์ให้อยู่ในความสงบ หรือผู้ชุมนุมเป็นฝ่ายใช้ความรุนแรงกับเจ้าหน้าที่รัฐก่อน

แต่พอพูดกับคนในประเทศ นายอภิสิทธิ์จะบอกว่า ผู้ชุมนุมเป็นพวกแดงล้มเจ้า เป็นพวกผู้ก่อการร้ายและมีอาวุธรุนแรง มองประชาชนที่อยู่ตรงข้ามหรือมีความเห็นแตกต่างเป็นศัตรู

นายอภิสิทธิ์สามารถพูดเรื่องเดียวกันโดยมีเหตุผล 2 ชุด ซึ่งคนจำนวนหนึ่งเชื่อและคล้อยตาม แต่คนอีกจำนวนหนึ่งก็ไม่เชื่อ เพราะคนพวกหลังนี้เขาติดตามข้อมูลข่าวสารทุกด้านเท่าที่จะหาได้ ไม่ใช่ข้อมูลด้านเดียวที่รัฐบาลและศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ยัดเยียดผ่านสื่อกระแสหลัก

โดยเฉพาะทูตานุทูตและนักลงทุนนั้นมีการติดตามข้อมูลข่าวสารทั้งทางตรงและทางอ้อมที่มากกว่าประชาชนทั่วไป ทั้งยังเข้าใจดีถึงคำว่า “ผู้ก่อการร้าย” เช่นเดียวกับคำว่า “ประชาธิปไตย” กับ “เผด็จการ” แตกต่างกันอย่างไร

ดังนั้น การที่รัฐบาลอ้างความจำเป็นที่ต้องประกาศใช้ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉินต่อไป จึงฟ้องสถานการณ์ของประเทศไทยและเสถียรภาพของรัฐบาลชัดเจนอยู่แล้วว่ามีความมั่นคง หรือเปราะบางเพียงใด เหมือนที่สื่อและนิตยสารระดับโลกวิเคราะห์ว่า ขณะนี้นายอภิสิทธิ์แค่พยายามสร้างความชอบธรรมให้กับตัวเองเท่านั้น ขณะเดียวกันก็ยังใช้อำนาจที่มีอยู่เร่งกวาดล้างและจับกุมคนเสื้อแดง จึงมีแต่เติมเชื้อความรุนแรงที่ยากจะเยียวยา ไม่ใช่การปรองดองอย่างที่นายอภิสิทธิ์ออกมาประกาศ

หากนายอภิสิทธิ์ต้องการสร้างความปรองดองจริงต้องแสดงออกด้วยการยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ต้องสั่งให้ ศอฉ. และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเลิกไล่ล่า กล่าวหา จับกุมคนเสื้อแดงและนักการเมืองฝ่ายตรงข้าม แต่ไม่ใช่ละเว้นการกระทำผิด เพราะทุกคนต้องยอมรับข้อบังคับของกฎหมาย โดยการนำมาดำเนินคดีตามกระบวนการยุติธรรมตามปรกติ

ไม่ใช้อำนาจภายใต้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินที่ให้อำนาจในการกล่าวหาและควบคุมตัวโดยไม่มีหลักฐานใดๆ แค่สงสัยก็สามารถควบคุมตัวได้ถึง 30 วัน แม้แต่การห้ามทำธุรกรรมทางการเมืองอย่างที่ผ่านมา ซึ่งหากนายอภิสิทธิ์ยังดื้อดึงใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินต่อไป เท่ากับไม่มีความจริงใจที่จะสร้างความปรองดองหรือปฏิรูปประเทศ อีกทั้งยังถูกครหาว่าใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเป็นเครื่องมือทางการเมืองเพื่อข่มขู่และกลั่นแกล้งฝ่ายตรงข้าม

โดยเฉพาะประเด็นด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งวันนี้นายอภิสิทธิ์เองพยายามฟอกตัวเองและพวกพ้องให้หลุดพ้นจากข้อกล่าวหาฆ่าและทำร้ายประชาชน โดยการตั้งคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมือง ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ก็ถูกตั้งคำถามเรื่องความเป็นกลางและความเป็นอิสระ ซึ่งนายอภิสิทธิ์เคยกล่าวครั้งรัฐบาลนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ ตั้งคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จริงเหตุการณ์ 7 ตุลาคม 2551 ว่าสังคมจะยอมรับหรือไม่ เมื่อรัฐบาลตั้งขึ้นมาเอง ไม่ว่าจะเอาใครมาเป็นประธานหรือกรรมการก็ตาม

แต่วันนี้กลับทำตรงข้ามกับที่เคยพูด ทั้งยังเพิกเฉยเสียงที่คัดค้านเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เช่นเดียวกับการเรียกร้องให้รับผิดชอบประชาชนและทหารเกือบ 100 ศพในเหตุการณ์ 10 เมษายนและ 13-19 พฤษภาคมที่ผ่านมา

โลกของนายอภิสิทธิ์จึงมีแต่มิติที่สดใสและไร้อุปสรรค เพราะทุกอย่างอยู่ที่ว่าจะพูดอย่างไร และกับใคร ไม่ว่าจะเรื่องการปรองดอง การปฏิรูปประเทศ การปฏิรูปการเมืองหรือการเมืองภายในพรรคร่วมรัฐบาล

แม้แต่มิติของความเป็นผู้นำประเทศที่สร้างบรรทัดฐานใหม่ทางการเมืองไทย ที่จะไม่ลาออกหรือยุบสภา แม้จะทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บมากมาย โดยอ้างความชอบธรรมจากคำว่า “นิติรัฐ” และการใช้สำนวนโวหารคำว่า “ขอพื้นที่คืน” และ “กระชับพื้นที่” ในการกล่าวหาและใส่ร้ายป้ายสีฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ก่อการร้ายและล้มสถาบัน

ประชาธิปไตยของนายอภิสิทธิ์จึงเหมือนการสวมหน้ากากและมัดมือชกให้เชื่อในสิ่งที่พูด ใครไม่เชื่อหรือต่อต้านก็กลายเป็นผู้ก่อการร้าย ไม่รักชาติ ไม่รักสถาบัน

การสร้างความปรองดองจึงเป็นไปไม่ได้ตราบใดที่นายอภิสิทธิ์ยังนั่งอยู่บนซากศพและกองเลือด และในหัวใจไม่มีคำว่า “ประชาชน”

โดยเฉพาะการปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปการเมืองให้ประชาธิปไตยที่แท้จริงนั้น ต้องมาจากประชาชนและเป็นของประชาชน ไม่ใช่ประชาธิปไตยของคนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง