ที่มา ข่าวสด
เข้าสู่บรรยากาศของฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้
หลายต่อหลายครั้งที่การเมืองเคร่ง เครียด แต่ก็พลิกเปลี่ยนทันทีเมื่อเข้าสู่เทศกาลฟาดแข้งที่ 4 ปีมีครั้ง
แต่ครั้งนี้ปีนี้ ความขัดแย้งลึกซึ้งและเข้มข้นกว่าที่ผ่านๆ มา
อุณหภูมิอาจจะลดลงบ้าง แต่ก็เพื่อรอเวลาปะทุใหม่อีกครั้ง
โจทย์ใหญ่ของรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ยังคงเป็นเรื่องการสลายม็อบเสื้อแดง
ตลอดทั้งเหตุการณ์มีผู้เสียชีวิต 90 ชีวิต บาดเจ็บนับพันคน
เป็นบาปลึกในใจผู้เกี่ยวข้อง เหมือนกับอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร กับกรณีฆ่าตัดตอน, ตากใบและกรือเซะ
จุดอ่อนในการชุมนุมของเสื้อแดง คือการมีกองกำลัง การไม่ยุติการชุมนุมในจังหวะอันควร และเกิดความเสียหายมหาศาลจากการเผาสถานที่ต่างๆ
กลายเป็นเงื่อนไขให้รัฐบาลใช้อ้างความชอบธรรม เพื่อให้ตนเองได้อยู่ในตำแหน่งต่อไป
ทั้งที่โดยความรับผิดชอบ นักวิชาการบางคนชี้ว่า รัฐมนตรีพรรคประชาธิปัตย์แจกปลากระป๋องเน่าให้ประชา ชนยังต้องลาออกมาแล้ว การสลายม็อบมีคนตายร่วมร้อยคนเป็นเรื่องใหญ่กว่ากันมาก แต่นายกฯยังไม่แสดงความรับผิดชอบ
ท่ามกลางความแตกร้าวของคนในชาติ ก็ไม่แปลกที่รัฐบาลจะชูธง "ปรองดอง" ผืนใหญ่เป็นพิเศษ
นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เปิดแถลงข่าวเมื่อวันที่ 10 มิ.ย. ประกาศแผนปรองดอง พร้อมกับมีชื่อของบุคคลต่างๆ มาทำหน้าที่ต่างๆ
อาทิ นายคณิต ณ นคร อดีตอัยการสูงสุด มาทำหน้าที่ประธานคณะกรรมการตรวจสอบข้อเท็จจริงการชุมนุมของเสื้อแดง
นายสมบัติ ธำรงธัญวงศ์ อธิการบดีสถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า มาเป็นประธานกรรมการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญ และยังจะไปทาบทามนายอานันท์ ปันยารชุน มาเป็นประธานคณะกรรมการปฏิรูปประเทศไทย หลังจากที่นายอานันท์ปฏิเสธตำแหน่งประธานสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการชุมนุมไปแล้ว
เห็นชื่อก็นึกออกว่าฝ่ายต่อต้านรัฐบาล จะตอบรับแผนการปรองดองหรือไม่
เลยต้องมีการออกตัวว่า อยากจะเชิญคนเสื้อแดง หรือไปพบคนเสื้อแดงเพื่อขอฟังความคิดเห็น
เป็นงานระดับอภิมหาโปรเจ็กต์ ซึ่งคงต้องประชุมกันอีกยาวนานหลายเดือน ไม่ว่าบทสรุปจะออกมาอย่างไร ก็ทำให้ปฏิทินงานของนายกฯและรัฐบาลเต็มขึ้นมา
ถามว่าใครได้ประโยชน์
รัฐบาลรับไปเต็มๆ เพราะได้ซื้อเวลา ยืดอายุออกไปอีก
และใช้เวลาที่ได้มา ควบคุมผลสะเทือนจากการสลายม็อบ ให้เป็นประโยชน์กับตัวเองมากที่สุด
หากรัฐบาลจริงใจที่จะดำเนินแผนปรองดอง ห้วงเวลานี้ถือเป็นโอกาสดียิ่งของรัฐบาล
เพราะแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติหรือนปช.อยู่ในช่วงพักรบ
แกนนำบ้างถูกจับ บ้างถูกควบคุมตัวและบ้างก็หลบหนี ขณะที่รัฐบาลยังใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉิน การรวมตัวยังทำไม่ได้
ถ้าหากรัฐบาลต้องการเจรจา ก็นับว่าบรรยากาศเป็นใจ
แต่รัฐบาลดูจะสนใจใช้โอกาสไปในเรื่องของการเช็กบิลมากยิ่งกว่า
การใช้กฎหมายของรัฐบาลเป็นเรื่องที่สังคมจะต้องสนับสนุน
แต่ควรจะทำอย่างตรงไปตรงมา ด้วยมาตรฐานเดียวกันหมด
ความฉับไวในการติดตามผู้ต้องหาคดีต่างๆ ระหว่างการชุมนุม แสดงให้เห็นถึงสมรรถนะของเจ้าหน้าที่รัฐ
แต่ก็ทำให้เกิดคำถามเช่นกันว่า ในคดีสำคัญอย่างคดียึดสนามบินทำไมแตกต่างออกไป
ที่น่าวิตกอย่างยิ่ง คือการยกระดับการเช็กบิล จากติดตามตัวมาดำเนินคดี กลายเป็นการไล่ล่าใช้อำนาจทมิฬ ตามสังหาร
สดๆ ร้อนๆ คือกรณีมือปืนควบปิกอัพไปลั่นกระสุนสังหารนายศักรินทร์ กองแก้ว หรืออ้วน บัว ใหญ่ แกนนำนปช.โคราช เสียชีวิตเมื่อวันที่ 9 มิ.ย.ที่ผ่านมา
หากการตามเข่นฆ่า กระทำโดยแวดวงอำนาจฝ่ายรัฐบาล แผนการปรองดองของรัฐบาล ซึ่งดูเป็นหัว ข้อการประชุมหรือการปาฐกถา มากกว่าจะเป็นแผนงานที่หวังผลทางปฏิบัติอยู่แล้ว
โอกาสที่ความปรองดองจะเกิดขึ้นจริง ซึ่งยากอยู่แล้ว ก็ยิ่งมืดมน
สถานการณ์หลังการปรับครม. ของรัฐบาล แม้รัฐบาลกับทหารผนึกกำลังกันได้เหนียวแน่น
โดยเฉพาะในการปกป้องปฏิบัติการสลายม็อบที่มีนายอภิสิทธิ์เป็นผู้รับผิดชอบสูงสุด
แต่ในแง่เสถียรภาพ ไม่อาจกล่าวได้เต็มปากว่าเข้มแข็ง
การปรับครม.ภายหลังการอภิปรายไม่ไว้วางใจ 31 พฤษภา คม และ 1 มิถุนายน ไม่ได้ทำให้รัฐบาลแข็งแกร่งขึ้น
การเปลี่ยนแปลงตำแหน่งอย่างไม่มีหลักเกณฑ์ชัดเจน ทำให้รัฐบาลสูญเสียมิตรสหายไปไม่น้อย
ฝ่ายค้านได้อภิปรายถึงปัญหาการทุจริตในกระทรวงมหาดไทยและกระทรวงคมนาคม
จนเกิดปรากฏการณ์ส.ส.พรรค เพื่อแผ่นดินไม่ยกมือไว้วางใจ 2 รัฐมนตรี จากพรรคภูมิใจไทย
แต่ก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น นอกจากกลุ่มโคราชและหนองคาย พรรคเพื่อแผ่นดินต้องพ้นจากรัฐบาลไป
เท่ากับรัฐบาลได้วางเฉยต่อปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่น ทั้งที่ได้ประกาศสัญญาประชาคมไว้อย่างเข้มข้น
ขณะเดียวกัน การดำรงอยู่ของคนเสื้อแดง ก็เป็นความจริงที่ปฏิเสธไม่ได้
ความคิดที่จะกลับมาชุมนุมขับไล่รัฐบาลก็ยังดำรงอยู่
ทั้งสองประการ ส่งผลกระทบต่ออนาคตของรัฐบาล ที่ตั้งเป้าใหม่ล่าสุดว่าจะอยู่ครบเทอม
ด้วยปัญหาเหล่านี้ พื้นที่อันตรายของรัฐบาลจะเพิ่มขึ้นอีก
ไม่เฉพาะแค่จังหวัดเสื้อแดงที่รัฐบาลจะเหยียบย่างไปไม่ได้เท่านั้น
บางพื้นที่อย่างในสภาผู้แทนฯ เมื่อจำนวนส.ส.รัฐบาลไม่แน่นอน ก็กลายเป็นพื้นที่อันตรายไปด้วย
ความแตกแยกในสังคม บีบให้รัฐบาลไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากเจรจาปรองดอง
ปัญหาอยู่ที่ว่ารัฐบาลจะเลือกปรองดองอย่างแท้จริง
หรือแค่ต้องการสร้างภาพว่าปรองดองเท่านั้นเอง