หากย้อนกลับไปดูรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยตลอด 76 ปีที่ผ่านมา จะถือว่ารัฐบาล นายสมัคร สุนทรเวช เป็นรัฐบาลที่มีปัญหารุมเร้า รอให้เข้ามาแก้ไขมากมายเป็นประวัติการณ์ก็คงจะไม่ผิด
นับตั้งแต่ปัญหาวิกฤติทางด้านเศรษฐกิจที่มีปัจจัยทั้งภายในและภายนอกประเทศ ทั้งจากผลกระทบต่อเนื่องของปัญหาซับไพรม์ หรือปัญหาราคาน้ำมันในตลาดโลก อันเกิดจากการจำกัดการผลิตของกลุ่มโอเปค
รวมไปถึงการชะงักและการชะลอตัวของนักลงทุนในช่วงที่บ้านเมืองอยู่ในบรรยากาศเผด็จการทหาร ยาวนานกว่า 16 เดือน จนส่งผลให้ทั้งนักลงทุนในประเทศ และนักลงทุนต่างประเทศขาดความเชื่อมั่น ไม่กล้าควักเงินออกมาลงทุน
ส่งผลกระทบต่อเนื่องไปถึงการขาดเงินตราหมุนเวียนในประเทศ ปริมาณการจ้างงานลดลง และสุดท้ายผลกระทบหนักก็ไปตกอยู่กับประชาชนในระดับรากหญ้า
ซึ่งหมายถึงการแก้ปัญหาที่สำคัญเร่งด่วนในการเร่งรัดฟื้นฟูสภาพความเป็นอยู่ของประชาชนที่มีรายได้น้อย รวมไปถึงประชาชนที่ยังตกงานอีกกว่า 4 แสนคนทั่วประเทศ ที่ในจำนวนนั้นอย่างน้อยครึ่งหนึ่งจบการศึกษาระดับปริฐฐาตรีขึ้นไป
นอกจากนี้ก็ยังมีปัญหาทางสังคมที่สั่งสมมาอย่างน้อยปีเศษ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบอันสืบเนื่องมาจากปัญหาทางเศรษฐกิจ และบางส่วนก็เกิดจากความละเลย และไม่รู้เท่าทันปัญหาของรัฐบาลที่เข้าทำทำหน้าที่เพียงขัดตาทัพ และไม่เห็นความสำคัญของการทำงานในเชิงรุก
ไม่ว่าจะเป็นปัญหาอาชญากรรม การฉก ชิง วิ่งราว ที่มีสถิติเพิ่มมากขึ้นจนน่าตกใจ รวมถึงปัญหาเด็กวัยรุ่นที่เกิดขึ้นมากมายหลายรูปแบบอย่างรวดเร็ว ตามการพัฒนาของเทคโนโลยีที่จำเป็นจะต้องได้รับการดูแลและแก้ปัญหาอย่าวรู้เท่าทัน
รวมไปถึงปัญหายาเสพติดที่หวนกลับมาระบาดอีกครั้งอย่างน่าตกใจ หลังจากที่การปราบปรามเริ่มเข้าที่เข้าทางไปแล้วครั้งหนึ่งในสมัยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
ขณะเดียวกันก็ยังมีปัญหาด้านต่างประเทศ ที่ต้องเร่งรัดทำความเข้าใจถึงเสถียรภาพของรัฐบาลไทย ภายหลังมีการเลือกตั้งตามวิถีทางประชาธิปไตย เพื่อประโยชน์ในด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และการทำการค้าระหว่างกัน โดยเฉพาะกลุ่มประเทศพันธมิตรใหม่
รวมทั้งปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เคยคาดการร์กันว่าในช่วงของรัฐบาลทหารจะสามารถจัดการกับปัญหาดังกล่าวได้ดีกว่ารัฐบาลพลเรือน แต่สุดท้ายก็กลับล้มเหลวไม่เป็นท่า และกลายเป็นว่ายังคงมีผู้บริสุทธิ์ทั้งครู พระสงฆ์ และทหาร ตำรวจ ตายกันเป็นรายวัน
ทุกประเด็นปัญหาดังที่กล่าวล้วนถูกสั่งสมไว้ในห้วงการทำงานของรัฐบาลขิงแก่ ซึ่งแน่นอนว่าการแก้ไขปัญหาที่ก่อตัวมายาวนานจำเป็นจะต้องใช้เวลา แต่ก็ถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาลที่จะต้องทุ่มเทกำลังกายกำลังใจอย่างเต็มที่เพื่อแก้ไขปัญหาให้จงได้ โดยไม่มีสิทธิอุทธรณ์
และลำพังปัญหาเก่าที่รอการสะสางทั้งหมดนั้น ก็ต้องถือว่าหนักหนาเอาแรงอยู่แล้ว แต่ที่สำคัญและน่าเป็นห่วงก็คือปัญหาใหม่ที่มีกลุ่มคนบางพวกพยายามจะให้เกิดขึ้น
นับตั้งแต่เงื่อนไขในรัฐธรรมนูญที่มีการกำหนดเนื้อหาสาระที่เป็นอุปสรรคต่อการทำงานของสภา ของนักการเมือง ไปจนถึงฝ่าบบริหาร และเป็นรัฐธรรมนูญฉบับที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันว่าจงใจร่างขึ้นมาเพื่อให้เกิดความวุ่นวายในภายหลัง
รวมไปถึงกฎหมายอีกหลายฉบับที่ผ่านการพิจารณาของสภานิติบัญยัติแห่งขาติ หรือประกาศ คปค. ที่ยังคงอยู่ ซึ่งหลายฉบับมีเนื้อหาที่ละเมิดสิทธิมนุษยชน จงใจเอื้อการสานต่ออำนาจเผด็จการ ฯลฯ
ที่สำคัญมีการกระทำที่เชื่อได้ว่าเป็นขบวนการจ้องทำลายรัฐบาล ด้วยเหตุผลเป็นส่วนตัวมากว่าเป็นการกระทำเพื่อบ้านเมือง ด้วยเพราะความพยายามให้ร้ายหลายเรื่องเป็นเพียงข้อกล่าวหาเลื่อนลอย และเป็นเพียงคำพูดที่ชวนให้เกิดความเข้าใจผิดหรือคล้อยตาม ทั้งที่ไม่ได้มีการกระทำความผิดเกิดขึ้นจริง
และที่น่าสังเกตุก็คือคำพูดของผู้นำพรรคการเมืองบางพรรค ข้าราชการผู้ใหญ่บางคน นักวิชาการบางคน คอลัมนิสต์บางคน หรือแม้แต่กลุ่มก๊วนข้างถนนบางกลุ่ม มีแนวทางหรือลีลาการพูดที่แทบจะเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
อย่างเช่นการออกมาบอกว่าการเป็นผู้นำจะต้องไม่ก้าวล่วงกระบวนการยุติธรรม ซึ่งจริงอยู่ว่าสิ่งที่พูดเป็นเพียงข้อเท็จจริงเท่านั้น แต่ก็ต้องถามไปที่ผู้พูดว่าเจตนาแท้จริงเป็นอย่างไร
เพราะคำพูดดังที่ว่าชวนให้ประชาชนเข้าใจได้ว่าผู้นำรัฐบาล หรือนายกรัฐมนตรี กำลังมีความคิดที่จะทำแบบนั้น กำลังจะเข้าไปแทรกแซงกระบวนการยุติธรรม ทั้งๆ ที่ไม่เป็นความจริง
รวมไปถึงความพยายามที่จะวิพากษ์วิจารณ์ทุกเรื่องราวที่เป็นแนวคิดของรัฐบาล ทั้งที่บางเรื่องเพิ่งจะเป็นแค่การจุดประกาย ที่ยังไม่ได้มีการนำเข้าสู่กระบวนการ ก็ไปเปิดประเด็นวิพากษ์วิจารณ์กันให้เกิดความเสียหาย
แม้ว่าการที่คนบางกลุ่มอย่างพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่จะมีแบ็กเป็นใคร หรือจะมีแนวร่วมเป็นใครบ้างก็ตามแต่ ออกมาตั้งกรรมการตรวจสอบการทำงานของรัฐบาล หรือพรรคประชาธิปัตย์จะตั้งรัฐบาลเงาก็ตาม แน่นอนว่าในภาพรวมแล้วเป็นเรื่องดี
หากเป็นการทำเพื่อส่งเสริมการทำงานของรัฐบาล แนะนำในเรื่องที่ขาดตกบกพร่อง ตรวจสอบในเรื่องที่มองเห็นความไม่ชอบมาพากลด้วยใจบริสุทธิ์
แต่การออกมาตั้งข้อสันนิษฐานว่ารัฐบาลจะต้องทำผิดอย่างนั้น อย่างนี้ แล้วก็เที่ยวออกมาพูดจาให้เกิดความเชื่อเช่นนั้น เป็นการสร้างความระสำระสายในบ้านเมือง ทำให้ประชาชนเกิดความหวั่นไหว นักลงทุนเกิดความหวาดผวา ทั้งที่เรื่องราวไม่ได้เกิดขึ้นจริง
คนพวกนี้ได้สนใจความเสียหายที่จะเกิดขึ้นกับบ้านเมือง สนใจผลกระทบที่จะเกิดกับประชาชนคนไทยบ้างหรือเปล่า
หรือบ้านเมืองจะฉิบหายก็ไม่สนใจ ขอให้กูได้ประโยชน์เป็นพอ...!?
บิ๊กโบ๊ต (แทน)
///////////////////////////////
คอลัมน์:ละครชีวิต....
จากหนังสือพิมพ์รายวันประชาทรรศน์ ฉบับประจำวันที่ 10/03/2551