เกิดปฏิกิริยาหลายอย่างที่น่าวิเคราะห์ กับเหตุการณ์เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา ซึ่งน่าจะเป็นตัวบ่งชี้ได้ว่า คนกลุ่มต่างๆ โดยเฉพาะในเหล่าปัญญาชน นักวิชาการ และสื่อมวลชน มีจุดยืนแบบไหนอย่างไร
หลังการออกมาชี้แจงของนายกรัฐมนตรีสมัคร สุนทรเวช ที่มีต่อการชุมนุมของพันธมิตร เราได้เห็นธาตุแท้ของ สื่อที่อ้างว่าตนเป็นทีวีสาธารณะอย่าง “ไทยพีบีเอส” ที่เสนอภาพ และทิศทางข่าวโน้มเอียงไปในทางที่ว่า “รัฐบาลจะใช้ความรุนแรงปราบปรามประชาชนกลุ่มพันธมิตรที่ชุมนุมอย่างสงบ” ภาพที่นำเสนอทำให้ประชาชนผู้ดูรายงานข่าว รู้สึกราวกับว่า เหมือนได้เห็นเหตุการณ์พฤษภาทมิฬกลับมาอีกครั้ง
ประเด็นของการเสนอข่าว รายการสัมภาษณ์บุคคลต่างๆ อยู่ที่ประเด็นเดียวคือ การสร้างภาพให้รัฐบาลคือผู้ที่จะใช้กำลัง ใช้ความรุนแรงเข้าสลายการชุมนุมโดยสงบของประชาชน ซึ่งเป็นประเด็นที่สอดคล้องและเข้ากันได้ดี กับ “สาร” ที่แกนนำพันธมิตรฯ สื่อออกมา
ราวกับว่า สื่อช่องนี้ เป็นสาขาหนึ่งของสื่อพันธมิตรฯ อย่างไรอย่างนั้น
นอกจากสื่อที่กระโดดออกมาหนุนพันธมิตรฯ อย่างสุดจิต สุดใจ ประชาชนอย่างเราๆ ท่านๆ ยังได้เห็น ปัญญาชน นักวิชาการ และผู้ที่เรียกตัวเองว่า “นักสิทธิมนุษยชน” ออกมาแถลงการณ์คัดค้านบ้างก็ประณามรัฐบาลกันอย่างพึ่บพั่บ
และเราได้เห็น กลุ่มคนที่เสนอว่า พวกตนเป็นทางเลือกที่สาม ไม่เห็นด้วยกับพันธมิตร และไม่ได้สนับสนุนรัฐบาล แต่ก็ออกมายืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า รัฐบาลจะจัดการกับการชุมนุมโดยสงบของพันธมิตรฯไม่ได้ บ้างก็พูดไปถึงขนาดว่า รัฐบาลจะถูกขับไล่เหมือนกับรัฐบาลเผด็จการถนอม , นานาประเทศจะไม่ยอมรับการกระทำของรัฐบาล ฯลฯ
กลุ่มคนเหล่านี้กำลังทำอะไร ?
ประเด็นสำคัญต้องพิจารณาเพื่อให้เห็นจุดยืนของพวกเขาคือ“สาร”ที่ส่งผ่านสาธารณะ
สารที่เหมือนกันทั้งกลุ่มทั้งก้อนคือ ย้ำว่า
“รัฐบาลกำลังใช้ความรุนแรง กับประชาชนที่ชุมนุมกันอย่างสงบ , การชุมนุมเป็นสิทธิ เสรีภาพขั้นพื้นฐาน, รัฐบาลกำลังปราบปรามประชาชน”
สถานการณ์เป็นอย่างที่กลุ่มปัญญาชนเหล่านี้พูดจริงหรือ? พวกเขาเหล่านี้ มีความบริสุทธิ์ใจ ห่วงใย ต่อสถานการณ์บ้านเมือง โดยไม่เลือกข้าง ไม่เข้าข้างฝ่ายใด ฝ่ายหนึ่ง เป็นทางเลือกที่สามให้แก่สังคมได้จริงหรือ?
คำตอบ คือ ไม่
ปัญญาชน กลุ่มก้อนเหล่านี้ ที่บอกว่าตัวเองเป็นกลาง กำลังเป็นแนวร่วมให้กับพันธมิตรฯ
ทำไมจึงบอกเช่นนั้น
เพราะ กลุ่มคนเหล่านี้ มองเห็นเพียงแต่ “เปลือก”ที่ห่อหุ้ม สิ่งที่พวกเขาเรียกว่า “ความรุนแรง”
เพราะพวกเขา ลืมตามองเพียงด้านเดียว และวิเคราะห์ความรุนแรงเพียงแค่เชิงกายภาพ พวกเขาไม่ได้ลืมตามองสาเหตุ ใจกลางของปัญหาที่แท้จริงว่า “การชุมนุม เคลื่อนไหว ข้อเรียกร้อง เป้าหมายของพันธมิตรฯ คือความรุนแรงเชิงโครงสร้าง ที่สร้างความเสียหายมากกว่า การปะทะกันของกลุ่มคนเมื่อวันที่ 25 ที่ผ่านมา รุนแรงมากกว่า รัฐบาลจะใช้อำนาจตามกฎหมายจัดการกับการชุมนุม
เพราะเป้าหมายที่แท้จริงของพันธมิตรฯคือ “การโค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชน “ คือ “การเรียกหาการรัฐประหาร” โดยใช้วิธีการ บิดเบือนข้อมูล ใส่ความฝ่ายตรงข้าม และใช้วิธีการที่สกปรกที่สุดคือ การแอบอ้าง “ความจงรักภักดี” ทำลายผู้คนอื่นที่คิดต่างจากกลุ่มตน
จึงน่าสมเพชกับ”สาร”ที่สื่อถึงการชุมนุมของพันธมิตรฯ ที่มีเป้าหมายเพื่อล้มล้างระบอบประชาธิปไตยแบบรัฐสภา สนับสนุนการรัฐประหาร พิทักษ์รัฐธรรมนูญของเผด็จการว่าเป็นการแสดงออกบนวิถีทางประชาธิปไตย เป็นการชุมนุมโดยสงบไม่มีความรุนแรง และอ้างหลักการสิทธิ เสรีภาพ ไปอธิบายสร้างความชอบธรรมให้กับการชุมนุมของพันธมิตรฯ
หากจะดำรงตนอย่าง”เป็นกลาง” อย่างเป็นปัญญาชน นักสิทธิมนุษยชนจริงๆ คงต้องตั้งคำถามและทบทวนกับ “วิธีคิด” ของตัวเองก่อน ก่อนที่จะสำราก “สาร” ออกมาต่อสาธารณะ
เพราะ”สาร”ที่ส่งผ่านมานั้น คือการทำให้พันธมิตรฯ ชอบธรรมมากยิ่งขึ้นที่จะชุมนุม และบรรลุเป้าหมาย
อย่าทำตัวเป็น “อีแอบ” ซุกตัวในนามของปัญญาชน สื่อ นักสิทธิฯ นักสร้างทางเลือกที่ 3 โดยสวมเสื้อคลุมว่าเป็นกลาง อีกต่อไปเลย
ยอมรับเถิดว่า สิ่งที่ทำอยู่คือการเป็นแนวร่วมให้กับพันธมิตรฯ เพื่อทำลายประชาธิปไตยนั่นเอง