เอ้า นายกฯอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ไปแสดงวิสัยทัศน์เอาไว้ที่ ประเทศอังกฤษ ต่อการฟื้นฟูประเทศไทย.....ว่าขณะนี้กลับเข้าสู่ภาวะปกติ การเมืองไทยเข้าสู่ระบบ รัฐบาลบริหารประเทศบน หลักประชาธิปไตย ธรรมาภิบาล และโปร่งใส.....พร้อมใช้มาตรการ กระตุ้นเศรษฐกิจ ในการที่จะสร้างงานเป็นประโยชน์ต่อประชาชน 5 แสนคน.....ฟังแล้วปลื้ม............
แต่ที่ไม่น่าจะปลื้มก็บทวิจารณ์ของ ริชาร์ด ลอยด์ แพร์รีย์ บรรณาธิการภาคพื้นเอเชีย หนังสือพิมพ์ The Times ของอังกฤษ ที่ระบุว่า อภิสิทธิ์ ก้าวสู่ตำแหน่งนายกฯได้เพราะ พันธมิตรและกองทัพ ทำให้ประเทศไทยที่เคยมีเสรีภาพและเสถียรภาพมากที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ กลายเป็น ประเทศที่มีความวุ่นวาย และแตกแยกมากที่สุดในภูมิภาคนี้ จบข่าว............
ส่วน รองนายกฯสุเทพ เทือกสุบรรณ จะปลื้มออกไม่เป็นอีกเรื่องก็เมื่อวันวาน เจอเสื้อแดงปทุมธานี ยำใหญ่ ถึงกับออกมาสารภาพ วิกฤติการเมืองขณะนี้ เลวร้ายที่สุดของการเมืองไทย เนื่องจากมีขบวนการแบ่งคนในประเทศให้เป็นศัตรูกัน.....โดยเฉพาะเสื้อแดงและเสื้อเหลือง.....งานนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดปทุมธานี หนาวๆร้อนๆ............
จะไม่ให้หนาวได้อย่างไร เมื่อ รองนายกฯสุเทพ ยอมรับหน้าตาเฉยว่า เป็นคนสั่งย้ายผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ เนื่องจากปล่อยให้ม็อบฮึกเหิม..... เฮ้อ นักการเมืองจะไปสร้างความขัดแย้ง จะไปสร้างรอยแค้น อะไรกันเอาไว้ จนกลายเป็นความขัดแย้งของคนในประเทศ..... สุดท้ายจะไป คาดคั้นเอากับข้าราชการประจำ อย่างนี้ก็ไม่แฟร์จริงมะ............
นั่นแสดงว่า ความแตกแยกจากวิกฤติการเมือง กำลังลุกลามไปไกล จากการแบ่งข้างแบ่งสี แบ่งประชาชน ตอนนี้กำลังจะกัดกร่อนเข้าไป ในระบบราชการ..... ต่อไปนี้ ข้าราชการก็จะต้องเลือกข้าง ว่าจะอยู่กับเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง หรือจะต้องอยู่ข้าง รัฐบาลหรือฝ่ายค้าน ใช่ไม่ใช่............
ไหนๆก็ไหนๆ รอยร้าวของคนในประเทศอาการหนัก กรณีมีการขับไล่ รองนายกฯสุเทพ เป็นตัวอย่าง.....มีคน ขว้างระเบิดปิงปอง เข้าใส่รถขบวน ฝ่ายรัฐบาลอ้างว่าเป็นฝีมือคนเสื้อแดง.....ในขณะที่คนเสื้อแดงจับได้คาหนังคาเขา เป็น ฝีมือของคนใส่เสื้อสีฟ้า ที่ชุมนุมอยู่ในสถานที่ราชการ.....ท่าทางจะบานไม่หุบ............
ถึงวันนี้ต่อให้มีความพยายามที่จะ ปฏิรูปการเมือง คงจะสายเกินแก้ เพราะ ความหวาดระแวง เพราะวิกฤติการเมืองที่ผ่านมา องค์กร สถาบัน ลงมาเล่นการเมืองกันออกหน้าออกตา.....ประกาศเลือกข้างไปแล้ว แม้แต่ สถาบันพระปกเกล้า ที่เป็นเจ้าภาพแก้รัฐธรรมนูญ เอ่ยชื่อตัวบุคคล ก็เอวังแล้ว............
อย่าหวังจะมีพระเอกขี่ม้าขาวเข้ามาแก้ วิกฤติการเมือง ได้สำเร็จ เพราะระบบ กฎเกณฑ์ กติกาของประเทศ ถูกทำลายจนไม่เหลือมาตรฐาน.....บ้านเมืองใดปกครองโดยไม่เคารพกฎเกณฑ์กติกา.....ไม่ต่างอะไรจากบ้านป่าเมืองเถื่อน............
ยิ่งใช้อำนาจรัฐเข้ากดดัน ยิ่งผู้นำกองทัพ ยิ่ง โฆษกกองทัพบก ออกมาทำหน้าที่เป็น กระบอกเสียงให้รัฐบาล ก็เหมือนยิ่งราดน้ำมันเข้ากองไฟ.....ย้ำข้อครหา กองทัพก็เลือกข้าง และเข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในการปล้นประชาธิปไตยจริง............
“อินทรีเหล็ก” ไม่รู้ว่าข่าวลือที่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รมว.กลาโหม เตรียมตัวเป็นนายกฯคนต่อไป ภายใต้การสนับสนุนของ พรรคภูมิใจไทย และ พล.อ. อนุพงษ์ เผ่าจินดา เท็จจริงแค่ไหน.....รู้แต่ว่าการเมืองไทยกำลังถอยหลังลง คลอง............
หันมาที่วิกฤติเศรษฐกิจ หลัง ธนาคารโลก ออกมาระบุ เศรษฐกิจโลก ปีนี้จะตกต่ำในรอบ 80 ปี โดยเฉพาะในแถบ เอเชียตะวันออก ผลผลิตทางอุตสาหกรรมจะลดลงกว่าร้อยละ 15 เมื่อเทียบกับปีที่แล้ว ซึ่งถือว่าต่ำสุดๆแล้ว.....ในขณะที่การประชุม รมว.คลังจี-20 ที่เมืองฮอร์แชม ประเทศอังกฤษ ก็ เกิดแตกคอ กันซะแล้วต่อนโยบายที่จะใช้แก้ปัญหา.....ว้าเหว่แฮะ............
จะไม่ให้ว้าเหว่อย่างไรไหว ก็กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมันอย่าง โอเปก เห็นตรงกันว่า จะลดปริมาณ การผลิตน้ำมัน ลง เนื่องจากภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจ..... เดี๋ยววิกฤติราคาน้ำมัน เดี๋ยววิกฤติการเงิน อ่วมอรทัยไม่มีวันฟื้น............
ตัวเลข คนว่างงาน จากการเปิดเผยของ พรชัย อยู่ประยงค์ รองปลัดกระทรวงแรงงาน ตั้งแต่ ต.ค.ปี 2551 ถึง มี.ค.2552 เฉพาะที่มาลงทะเบียนกับกรมการจัดหางานอยู่ ที่ 3 แสนคน.....แค่เดือน ก.พ. ที่ผ่านมาเดือนเดียว ตกงานถึง 1 แสนคน..... สุดท้ายนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจก็ อุ้มคนรวยไม่ช่วยคนจน วันยังค่ำ...........
วิกฤติตามมาก็คือ ปัญหาของเกษตรกร ไหนจะราคาพืชผลทางการเกษตรตกต่ำ ไหนจะเรื่องของ ภัยแล้ง ไหนจะเรื่องของหนี้สิน.....ล่าสุด ชาวนา จ.อุตรดิตถ์ เปิดศึกแย่งน้ำกันแล้ว.....กระทรวงพาณิชย์ของ พรทิวา นาคาศัย กระทรวงเกษตรฯของ ธีระ วงศ์สมุทร มีกึ๋นแค่ออกโครงการรับจำนำ ของบประมาณขุดคูคลอง ถือเป็นกรรมของเกษตรกรไทย ............