ที่มา ข่าวสด
ระหว่างกองกำลังทหาร
และกลุ่มผู้ชุมนุมแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.
จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 20 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 800 ราย
รวมถึงการที่มีผู้สื่อข่าวรอยเตอร์ชาวญี่ปุ่นถูกกระสุนปืนลูกหลงจนเสียชีวิต
ทำให้บรรดาสื่อต่างชาติหันมาให้ความสนใจ
และมีท่าทีต่อปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองของไทยมากยิ่งขึ้น
ภายหลังปฏิบัติการที่ผิดพลาดจนนำมาสู่การสูญเสียเลือดเนื้อครั้งใหญ่
รัฐบาลภายใต้การนำของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ
ได้พยายามปัดความรับผิดชอบด้วยการเปิดประเด็น "ผู้ก่อการร้าย" โยนให้กลุ่มคนเสื้อแดงรับไป
อย่างไรก็ตาม
การที่รัฐบาลโหมขยายผลตัวละครผู้ก่อการร้ายนี้แม้จะช่วยให้รัฐบาลประคองเอาตัวรอดมาได้
แต่ก็สร้างความหวาดกลัวให้กับประชาชนคนไทยด้วยกันเอง รวมถึงคนต่างชาติที่อยู่ในไทย และผู้ที่กำลังคิดจะเดินทางมาอีกเป็นจำนวนมาก
เห็นได้จากกรณีหลายประเทศประกาศเตือนคนตัวเอง ให้พยายามหลบเลี่ยงการเดินทางมาไทยไม่ว่าจะด้วยเหตุผลทางธุรกิจหรือด้านการท่องเที่ยว
ซึ่งนั่นหมายถึงเม็ดเงินรายได้จำนวนมากที่ไทยต้องขาดหายไป
แต่ก็ยังไม่สำคัญเท่ากับภาพลักษณ์ของประเทศที่เสียหายอย่างหนัก
ยิ่งไปกว่านั้นตัวเลขคนตายและบาดเจ็บที่เพิ่มขึ้นจากเหตุการณ์เมื่อวันที่ 22 และ 28 เมษายน
รวมถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ ปฏิเสธการเจรจากับแกนนำกลุ่มผู้ประท้วง
เพื่อร่วมกันหาทางยุติความขัดแย้งด้วยสันติวิธี
คือสัญญาณชี้ชัดว่ารัฐบาลไม่ได้เป็นฝ่ายต้องการหลีกเลี่ยงความรุนแรงทั้งที่มีช่องทางให้ทำได้
การออกข่าวข่มขู่รายวัน การเสริมกำลังทหาร-ตำรวจเข้าโอบล้อมเวทีการชุมนุมของกลุ่มนปช. เพื่อรอฤกษ์ยามสั่งการใช้กำลังเข้าสลาย
ยิ่งทำให้รัฐบาล"โอบามาร์ค" ดูย่ำแย่มากขึ้นในสายตาชาวโลก
การแก้ปัญหาของรัฐบาลที่ใช้การทหารเป็นตัวนำหน้า
การปิดประตูโอกาสในการเจรจากับแกนนำฝ่ายต่อต้าน
ขณะที่กลไกรัฐสภากลายเป็นอัมพาต
แบ่งฝักแบ่งฝ่ายทะเลาะกันเองในหมู่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา จนไม่สามารถใช้เป็นเวทีระดมความคิดอ่านหาทางออกให้กับวิกฤตประเทศชาติ
จากปัญหาความขัดแย้งภายในไทยซึ่งยังไม่มีวี่แววจะจบลงในระยะเวลาอันสั้น
ทำให้สื่อมวลชนของต่างประเทศที่เป็นต้นตำรับประชาธิปไตยอย่าง
ซีเอ็นเอ็น ของสหรัฐ หนังสือพิมพ์เดอะ ไทมส์ และบีบีซี ของอังกฤษ
เริ่มตั้งคำถามแรงๆ กับนายอภิสิทธิ์ ถึงความชอบธรรมเรื่อง"ที่มา"ของรัฐบาล และความรับผิดชอบภายหลังเกิดเหตุการณ์นองเลือดตลอดช่วงเดือนเมษายนที่ผ่านมา
ถึงแม้นักประชาธิปไตยระดับโลกอย่าง นางอองซาน ซูจี ผู้นำพรรคฝ่ายค้านในพม่า จะระบุถึงปัญหาความไร้เสถียรภาพของรัฐบาลไทย ว่ามีต้นเหตุจากรัฐธรรมนูญที่เขียนขึ้นโดยกองทัพ
แต่ในขณะเดียวกันอีกหลายชาติเริ่มมองว่าความ"แข็งกร้าว"และ"ดื้อดึง" ของผู้นำรัฐบาลไทย คือส่วนผสมหลักของความขัดแย้งภายในประเทศ
เพื่อนบ้านในอาเซียนทั้งประเทศที่มีพรมแดนติดกับไทยอย่าง กัมพูชา มาเลเซีย และที่ไม่มีพรมแดนติดกับไทยอย่าง สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ เริ่มวิตกกังวลว่าวิกฤตการณ์การเมืองในไทย
อาจนำไปสู่วิกฤตการณ์ด้านเศรษฐกิจของอาเซียน
3 ประเทศหลังถึงขนาดเสนอตัวเป็น"คนกลาง" เรียกร้องให้มีการเจรจาระหว่างคู่ขัดแย้งในไทย
เพื่อหาทางออก
โดยทางออกที่ว่าอาจหมายถึงการ"ยุบสภา"เลือกตั้งใหม่ตามเงื่อนไขเวลาที่ทั้ง 2 ฝ่ายยอมรับ ระหว่างนั้นควรจัดให้มี"รัฐบาลเฉพาะกิจ"
ที่มีทั้งพรรครัฐบาลและฝ่ายค้านร่วมกันบริหารประเทศเป็นการชั่วคราว
ขณะที่เวียดนามในฐานะประธานอาเซียน ออกแถลงการณ์ในนามอาเซียน เรียกร้องให้ไทยแก้ปัญหาด้วยการเจรจาอย่างสันติ
นายบัน คี มูน เลขาธิการสหประชาชาติ(ยูเอ็น) แสดงความเป็นห่วง
และเรียกร้องให้ 2 ฝ่ายหลีกเลี่ยงความรุนแรง
และร่วมมือกันแก้ไขสถานการณ์อย่างสันติด้วยวิธีตั้งโต๊ะเจรจา
ล่าสุดกรณีองค์การนิรโทษกรรมสากลของสหรัฐ
ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ประธานาธิบดีบารัก โอบามา ส่งคณะทูตพิเศษมายังไทย เพื่อปลดชนวนการเผชิญหน้าระหว่างทหารกับกลุ่มผู้ชุมนุม
ทั้งยังเรียกร้องให้ประธานธิบดีโอบามา สร้างหลักประกันว่ากองทัพไทยจะไม่ใช้อาวุธที่ซื้อจากสหรัฐ ในการปราบปรามกลุ่มผู้ชุมนุมโดยสันติ
และขอให้ผู้ชุมนุมประท้วงหลีกเลี่ยงความรุนแรงด้วยเช่นกัน
คำถามและข้อแนะนำเหล่านี้คือ
สิ่งสะท้อนได้ดีว่าต่างประเทศเริ่มมองรัฐบาลไทยด้วยสายตาที่เปลี่ยนไปอย่างไร
อย่างไรก็ตามท่ามกลางเสียงตักเตือนจากโลกภายนอกต่อรัฐบาลไทย ไม่ให้ใช้ความรุนแรง และข้อแนะนำให้แก้ปัญหาด้วยการเจรจาอย่างสันติวิธี
แต่ก็ดูเหมือนรัฐบาลไทยนอกจากจะทำหูทวนลมแล้ว
ยังหาโอกาสตอบโต้บรรดาประเทศเหล่านั้นเป็นระยะ
สิ่งที่เป็นหลักฐานยืนยันว่ารัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ยังยึดแนวทางความรุนแรงอยู่
แม้จะเพิ่งผ่านความสูญเสียครั้งใหญ่วันที่ 10 เมษายน มาไม่นาน
คือเหตุการณ์วันที่ 28 เมษายน ด้วยการส่งกำลังทหารพร้อมอาวุธปืนและกระสุนจริง เข้าลุยปะทะกับกลุ่มผู้ชุมนุมฝ่ายต่อต้านรัฐบาล
จนทำให้มีทหารเสียชีวิตและประชาชนได้รับบาดเจ็บอีกจำนวนหนึ่ง
เป็นความ"เด็ดขาด"ของรัฐบาลที่ตามมาด้วยคำถามน่าสนใจ
ทำไมบรรดาชาติประชาธิปไตยเหล่านั้นถึงได้เป็นห่วงชีวิตคนไทย
ยิ่งกว่ารัฐบาลไทยเป็นห่วงชีวิตพลเมืองของตัวเอง
เพื่อไทย
Sunday, May 2, 2010
"โอบามาร์ค" ชักไม่สง่างาม
หลังเกิดการปะทะเมื่อวันที่ 10 เมษายน