ที่มา ประชาไท เรื่องความไม่ชอบธรรมชนิดไม่มีข้อแก้ตัวของฝ่ายแดงที่ไปบุกโรงพยาบาลจุฬาฯ เมื่อวันที่ 29 เมษายน 2553 นั้น เมื่อทบทวนดู พบข้อน่าสังเกตบางประการจึงขอบันทึกไว้ดังนี้ 1. ฝ่ายแดงสะดุดหัวแม่เท้าตัวเองจริงๆ เรื่องไปบุกโรงพยาบาลจุฬาฯ หลังจากเสียหายเรื่องตั้งด่านตรวจรถ กั้นทางขึ้นลงรถไฟฟ้า แล้วตีตื้นขึ้นมาได้จากแผนล้มเจ้าฉบับขายหัวเราะของ ศอฉ. ซึ่งถ้ามีคนเชื่อว่าจริง คนไทยก็ควรเลิกคิดเรื่องพัฒนาชาติไทย นอนรอวันตายไปเรื่อยๆ สบายดีและถูกอัธยาศัยดีแล้ว เข้าใจได้ถึงความกดดันของฝ่ายแดงว่าจะถูกทำร้าย ถูกล้อมปราบ แต่การบุกไปโรงพยาบาลแบบซุ่มซ่ามบุ่มบ่ามเพราะความ "กลัว" ของตน โดยไม่ได้นึกถึงความ "กลัว" ของคนอื่นๆ ที่เป็นคนธรรมดาสามัญเหมือนกัน แสดงให้เห็นว่าฝ่ายวางแผนและคุมกำลังละเอียดอ่อนไม่พอ ไม่ฉลาดเท่าฝ่ายรัฐ แม้จะบอกว่าสู้จนเหนื่อยคิดไม่ทัน ก็แปลว่าอ่อนด้อยกว่าเขา กล่าวคือแพ้ทางการเมือง จิตใจสู้และอดทนของประชาชนที่ไม่มีอะไรจะสูญเสียนอกจากชีวิตนั้นไม่แพ้ แต่ทางการเมืองแพ้ หรือพูดอีกอย่างว่า ณ เวลานี้อยู่ในสถานะเพลี่ยงพล้ำ ทั้งแกนนำ การ์ดและผู้ชุมนุม โดยนอกจากเพลี่ยงพล้ำทางกระบวนท่า ยังเพลี่ยงพล้ำทางเล่ห์เหลี่ยม อาจเพราะไม่เชี่ยวชาญเรื่องเล่ห์เหลี่ยม การสร้างภาพ ตลอดจนการพูดจาให้ดูดีมีชาติตระกูล ซึ่งสองอย่างหลังนั้น เป็นความเชี่ยวชาญพิเศษของบรรดาคนชั้นกลางถึงชั้นสูงที่ดูดีมีชาติตระกูล ไม่ใช่ชาวบ้านสามัญ 2. น่าสนใจมากว่า "สื่อ" รายงานเรื่องแดง "บุก" โรงพยาบาลอย่างครึกโครม จนมีคนเชื่อโดยไม่ได้อ่านและไม่ได้ฟังละเอียดคิดว่าพวกแดงพร้อมอาวุธครบมือบุกยึดโรงพยาบาล เข้าไปอาละวาดทำร้ายคนไข้ แพทย์ พยาบาล จนเจ้าหน้าที่โรงพยาบาลต้องขนคนไข้หนีม็อบกันโกลาหล เด็กอ่อนต้องย้ายตึก ผู้ป่วยหนักต้องย้ายตึก ฯลฯ แน่นอนว่า การกรูเกรียวเข้าไปในโรงพยาบาลของการ์ดและคนเสื้อแดง (ตามข่าว) เป็นเรื่องทำร้ายความรู้สึกมากๆ สำหรับผู้ป่วย ญาติผู้ป่วย และทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง เป็นความไม่ชอบธรรมที่แดงไปบุกโรงพยาบาล ซึ่งเมื่อไม่ชอบธรรมตั้งแต่ต้นก็ย่อมไม่ชอบธรรมในเบื้องปลาย แต่น่าสนใจว่า ความจริงคือแดงทำอะไรบ้าง ขนาดไหน รุนแรงทางกายภาพเพียงใด ข่มขู่ใครบ้าง อย่างไร นอกเหนือจากที่เป็นความรุนแรงต่อจิตใจ ซึ่งประเมินได้ยาก เพราะแต่ละคนต่างมี "ความรู้สึก" ของตน มองอย่างเป็นธรรม ถ้าคนกรุงเทพฯ รู้สึกว่าถูกคนเสื้อแดงทำร้ายจิตใจสาหัส คนเสื้อแดงก็บอกได้เช่นกันว่าพวกเขาถูกคนกรุงเทพฯ และคนชั้นกลางจำนวนไม่น้อยทำร้ายจิตใจสาหัสด้วยถ้อยคำดูหมิ่น เหยียดหยาม ด่าว่าพวกเขาตลอดมา เขายังไม่ทันได้ทำอะไรเลย ก็ถูกกล่่าวหาก่อนแล้วว่าถ่อย โง่เป็นควายแดง พวกหางแดง ฯลฯ เป็นต้น เมื่อพวกเขาถูกล้อมปราบจนตายก็ไม่มีใคร โดยเฉพาะ "สื่อ" เดือดร้อน บันทึกในบล็อกของหมอจุฬาฯ และรูปภาพที่หมอจุฬาฯ ถ่ายออกมาเผยแพร่ทางโลกออนไลน์ ฝ่ายเกลียดแดงอ่านแล้วพอใจ ฝ่ายไม่เกลียดแดงอ่านแล้วเห็นว่า มีอคติอย่างแรง ในบันทึกก่อนวันที่ 29 เมษายน หมอจุฬาฯ ท่านหนึ่งเขียนว่า "พวกมัน" มาเดินเข้าเดินออกเข้าห้องน้ำเหมือน เป็นบ้านของมัน วันที่พวกมันบุกเข้ามาก็น่ากลัวมาก ก็ดูหน้าตาสารรูปของพวกมันแต่ละคนสิ....... บ่อยครั้ง ความหวาดกลัวในความ "เป็นอื่น" ของ "คนอื่น" ก็เกินจริง และคนชั้นกลางมีความสามารถสูงในการ "รู้สึก" อย่าง "ดราม่า" น้องรู้จักกันคนหนึ่ง เป็น typical ของสาวสวยชนชั้นกลางนิสัยดีมี "ธรรมะ" และมี "ฟอร์เวิร์ดเมล" น่ารักๆ ของคนน่ารักๆ นิสัยดี ไม่ชอบคนก้าวร้าวรุนแรง....บอกว่าตกใจร้องไห้ตัวสั่นทุกครั้งเมื่อนึกถึงเสื้อแดง เพราะกิริยาท่าทางแย่มาก เดินเข้าเดินออกโรงพยาบาลจุฬาฯ เพราะทำงานที่นั่น ก็ต้องเจอพวกเสื้อแดงตัวดำๆ สกปรก หน้าตาเหี้ยมโหด น่ากลัวเหลือเกิน พวกนี้ข่มขู่ผู้ป่วยและญาติผู้ป่วย คือมาปิดกั้นถนน ถือท่อเหล็กแกว่งไกวไปมา หน้าตาไม่เป็นมิตร เดินเข้าเดินออกในโรงพยาบาลที่ควรจะเป็นที่ของผู้ป่วยและผู้เกี่ยวข้องกับผู้ป่วย เรื่องอย่างนี้มีทั้งความจริง และความ "รู้สึกเกินจริง" แบบ "ดราม่า" น่าสนใจว่าหนังสือพิมพ์ใหญ่บางฉบับไม่พาดหัวเรื่องแดงบุกโรงพยาบาลเลยสองวันซ้อน แปลว่าอะไร? ไม่อยากเป็นเครื่องมือของใครเพราะเกรงว่าเรื่องนี้อาจมีการใช้ผู้ป่วยเป็นเครื่องมือทางการเมือง (ของทั้งสองฝ่าย) หรือไม่? ตรงนี้มีข้อมูลหลายประเด็นที่ควรพิจารณา เช่น 2.1 อะไรคือเหตุผลสำคัญที่ทำให้ผู้บริหารโรงพยาบาลจุฬาฯ ตัดสินใจย้ายผู้ป่วยไปโรงพยาบาลอื่น เสื้อแดงแสดงท่าทีว่าจะบุกเข้าไปทำร้ายผู้ป่วยหรือไม่ ฯลฯ เป็นต้น ถ้าเหตุผลว่า การบุกเข้าไปวันนั้นพอเพียงแล้วที่จะให้ตัดสินใจ แม้เป็นเหตุผลพึงรับฟัง ก็น่าคิดว่า ทัศนคติของผู้บริหารโรงพยาบาลจุฬาฯ ต่อเสื้อแดงเป็นอย่างไร เหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น เสื้อแดงน่ากลัวขนาดนั้นจริงหรือไม่ ข่าวล่าสุดที่สื่ออ้างว่ามาจาก โรงพยาบาลบอกว่า เสื้อแดงขู่วางระเบิดโรงพยาบาล คำถามคือมีความจริงมากน้อยแค่ไหน ใครเป็นผู้ขู่ ควรระบุตัวตนเพื่อแจ้งตำรวจให้จัดการตามกฎหมาย ดีกว่าลอยเลื่อนเป็นข่าวลือให้ร้ายกลุ่มผู้ชุมนุมเสื้อแดง 2.2 มีรายงานข่าวเปิดหน้านักข่าวไทยพีบีเอสว่า นักข่าวกำลังจะเข้าไปตรวจสถานที่โรงพยาบาลกับแกนนำตามที่ ผอ.โรงพยาบาลอนุญาต เพื่อยืนยันความบริสุทธิ์ใจว่า ไม่มีทหารในโรงพยาบาล นั่นคือ ก่อนหน้า การ์ดเสื้อแดงเยอะแยะจะกรูเข้าไปจับคนงานก่อสร้างเพราะเชื่อว่าเป็นทหารมาซุ่มยิง แปลว่า ก่อนหน้าจะเกิดประเด็นแดงบุกโรงพยาบาล การเข้าไปตรวจสอบในโรงพยาบาลของแดง ยังไม่ใช่สิ่งที่ "น่ากลัว" สำหรับสื่อ ใช่หรือไม่ ? ถ้าใช่ ก็อาจแปลว่าความน่ากลัวคือการกรูกันเข้าไปของการ์ดเสื้อแดงจำนวนมากที่วิ่งตึงๆ จะไปจับคนงานก่อสร้าง (ตามข่าว) เพราะเชื่อว่าเป็นทหาร แต่กระนั้นข่าวที่ออกมาช่วงแรก ก็ไม่ใช่เรื่อง "บุก" โรงพยาบาลแบบอันธพาล น้ำเสียงข่าวในช่วงแรกคือ แดงปล่อยไก่ เพราะคนที่จับได้ไม่ใช่ทหาร แต่เป็นคนงานก่อสร้าง พูดจาไม่รู้เรื่อง 2.3 ไม่ควรตัดทิ้งข้อสงสัยว่าอาจมีทหารอยู่จริงในโรงพยาบาลจุฬาฯ ด้วยเหตุผลว่าเพื่อรักษาความปลอดภัย ให้โรงพยาบาลจุฬาฯ (แม้จะฟังแปร่งๆ) เหมือนกับที่มีทหารรักษาการอยู่แทบทุกชั้นที่อาคารเนชั่นและที่คณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ดังนั้น ไม่แปลกที่ฝ่ายแดงจะสงสัย หลังจากมีบางกระแสข่าวว่าวิถี กระสุนซึ่งไปตกที่สีลมน่าจะมาจากโรงพยาบาล ต้องไม่ลืมว่าความตายที่สีลมไม่ได้เป็นประโยชน์อันใดเลยกับเสื้อแดง 2.4 ไม่แปลกที่ฝ่ายแดงจะสงสัยโรงพยาบาลจุฬาฯและแพทย์จุฬาฯ เพราะกลุ่มแพทย์จุฬาฯ เคยออกแถลงการณ์ไม่รับตรวจเจ้าหน้าที่ตำรวจเพราะเชื่อว่าตำรวจทำร้ายพันธมิตรฯ แพทย์จุฬาฯ มีภาพว่าเป็นฝ่ายเสื้อเหลืองมาตั้งแต่ต้น แม้ประกาศตัวเป็นกลางในแง่วิชาชีพ ภาพรวมในแง่ปัจเจกและอารมณ์ส่วนตัวของปัจเจกคือไม่ชอบแดง 2.5 ที่น่าสนใจมากๆ คือสื่อหลายสำนัก โหมข่าวเรื่องเสื้อแดงบุกโรงพยาบาลเป็นเรื่องใหญ่ ยินดีที่มีเสียงตำหนิแดง ยินดีที่คนเคยเห็นใจแดงตำหนิแดง คนทำสื่อเหล่านี้ดูจะไม่สนใจและคล้ายจะลืมเรื่องการล้อมปราบในวันที่ 10 เมษายน 2553 โดยสิ้นเชิงแม้จะมีความสูญเสียอย่างมาก ไม่สนใจสืบค้นความจริงเรื่องความ ตายของคนเสื้อหลากสีที่สีลม และไม่สนใจสืบค้นความจริงเรื่อง พลทหารถูกยิงตายที่ดอนเมือง....... ถ้าเราตัวสั่นด้วยความโกรธแค้น ที่เสื้อแดงบุกโรงพยาบาลจุฬาฯ เพราะการกระทำเช่นนั้นเป็นความไม่ชอบธรรมอย่างยิ่ง เราควรถามตัวเองเช่นกันว่า เราตัวสั่นด้วยความโกรธแค้นอย่างเดียวกันหรือไม่ที่ "รัฐ" เลือกปราบประชาชนคิดต่างในยามวิกาล เมื่อวันที่ 10 เมษายน 2553 จนมีผู้คนบาดเจ็บล้มตายจำนวนมาก ทั้งฝ่ายประชาชนและทหาร หรือในกรณีนี้ เราตัวสั่นเฉพาะเมื่อทหารเสียชีวิตและบาดเจ็บ ถ้าเช่นนั้น เรามองประชาชนเสื้อแดงว่าพวกเขาเป็นใครหรือ มิใช่เพื่อนร่วมชาติของเราผู้กำลังพยายามส่งเสียงบอกเราว่า เขามีความทุกข์หรืือ และถ้าเรามีความทุกข์เพราะการกระทำของเขา ที่พยายามบอกเราว่าเขามีความทุกข์ เราก็ควรจะหันหน้าคุยกัน เพื่อช่วยเหลือเกื้อกูลผ่อนคลาย ความทุกข์ของกันและกันมิใช่หรือ หรือเราควรตั้งตัวเป็นตุลาการศาลเตี้ย สั่งฆ่า สั่งเสียบประจานพวกเขาซึ่งเราขอเรียกว่าพวกมัน เพราะเรา "เชื่อ" ว่าพวกมันแสนเลวบัดซบ....อย่างนั้นหรือ? บางทีเราอาจไม่ต้องฝึกฝนนิสัยตัวสั่นด้วยความโกรธแค้นก็ได้ เพราะความโกรธแค้นไม่ได้ช่วยให้เรามีสติ แต่เราควรฝึกคิดทบทวนว่า ความจริงคืออะไรกันแน่ 3. ขอบันทึกเรื่องขบวนการล่าแม่มดออนไลน์ ไว้เล็กน้อยว่า ขณะนี้ทำกันเป็นล่ำเป็นสันและน่ากลัวมากเพราะ "อารมณ์เกลียดชัง" ที่ยิ่งนับวันยิ่งเติบโต -------------------
หมายเหตุ: บันทึกนี้เผยแพร่ครั้งแรกในเฟซบุ๊ค ประชาไทเห็นว่ามีแง่มุมที่น่าสนใจ จึงขออนุญาตเจ้าของงานนำมาเผยแพร่