กลุ่มเคลื่อนไหวทางการเมือง ภายใต้ชื่อ “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ที่โชว์ ผลงานชิ้นโบดำ ในการ เรียกทหารมายึดเมือง ทำลายหลักการประชาธิปไตย ล้มรัฐธรรมนูญ 2540 แล้วเข้าไปมี “ผลประโยชน์คำโต”
เหตุการณ์ผ่านพ้นมา 1 ปี กับอีก 7 เดือน คนกลุ่มนี้ยังไม่สำนึกในความผิดที่ได้กระทำลงไป แม้ว่า ศาลสถิตยุติธรรม ได้พิพากษาในเบื้องต้น ให้แกนนำคนหนึ่ง มีความผิด ถึงขั้นต้อง เดินหน้าเข้าสู่คุกตะราง รวม 3 ปี โดยไม่มีการรอลงอาญา แล้วก็ตาม
การเดินหน้าในการสร้างความสับสนวุ่นวาย แบ่งฝักแบ่งฝ่าย ให้กับ ประเทศชาติบ้านเมือง อีกครั้ง ทั้งที่บ้านเมืองเพิ่งจะเริ่มพลิกฟื้นตัวกลับมาสู่ภาวะเดิม นั่นคือ การปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข มีรัฐบาลที่มาจากกระบวนการเลือกตั้งโดย คณะกรรมการการเลือกตั้ง หรือ กกต. ที่พวกเขาเองเข้าข้าง ไม่เคยมีเสียงคัดค้าน
ไม่รู้ว่า บ้านเมืองจะพัฒนาไปได้อย่างไร? หากคนกลุ่มนี้ยังเดินหน้า สร้างสถานการณ์และเงื่อนไข สำหรับประเทศชาติให้ยิ่ง เปราะบางมากขึ้น มากขึ้น และมากขึ้น ผ่านการ ใช้ถ้อยคำ ที่รุนแรง ปลุกเร้า ตลอดเวลา
“ผมคิดว่าทั้ง คุณสมัคร และ ร.ต.อ.เฉลิม เป็นนอมินีของ ระบอบทักษิณ” เป็น ข้ออ้างที่ถาวร ของคนกลุ่มนี้ ที่คิดว่าเป็นความชอบธรรมในการเคลื่อนไหวไปเสียแล้ว แสดงให้เห็นเจตนาการปิดทางเจรจาฉันมิตรกับฝ่ายรัฐบาล ทั้งที่ตัวผู้พูดเองก็อยู่ในพรรคการเมือง ที่อ้างว่าจะทำงานอย่างสร้างสรรค์ และมีสโลแกนประจำพรรคว่า “ประชาชนต้องมาก่อน”
หากจะ พูดไร้หลักฐาน แบบที่เขาพูดกัน พูดได้ว่า “คุณอภิสิทธิ์เป็นนอมินีระบอบชวน” เพราะใช้ น้ำเสียงนุ่มๆ ในการอภิปราย เหมือนกัน ลีลาท่าทาง เหมือนกัน แต่ไม่ใช่ เพราะบางเรื่อง ความคิด ก็ไม่เหมือนกัน เช่น การที่พรรคประชาธิปัตย์ตัดสินใจไม่ลงเลือกตั้ง ในปี 2549 และอีกหลายๆ เรื่อง เป็นต้น
หากถาม พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ท่านก็คงไม่เห็นด้วยกับการที่ท่านนายกฯ สมัคร ตอบโต้สื่อสารมวลชนอย่างรุนแรงบ่อยครั้ง (แต่ผู้เขียนเห็นด้วย หากสื่อมวลชนทำพฤติกรรม รับงาน รับจ๊อบ มา ทั้งทางตรงและทางอ้อม)
คำว่า “นอมินี” กับ “ระบอบทักษิณ” ไม่ควรหยิบยกขึ้นมาอ้างบนหลักการนี้ เพราะที่สุดแล้วมันเป็นเพียงแค่ ความรู้สึกนึกคิด ของคนเท่านั้น
หากการเมืองจะเล่นกันอยู่บน ความเชื่อส่วนบุคคล มันเป็นเรื่อง ยากจะตัดสิน
การที่ รัฐบาล ที่ ได้คะแนนเสียง จากพี่น้องประชาชนทั่วประเทศ จน เกือบเกินครึ่งหนึ่ง ของ สภา นั้นแสดงว่า พี่น้องประชาชนซึ่งเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยโดยแท้จริง ให้ความไว้วางใจ ขนาดการเลือกตั้งที่เรียกได้ว่าเป็นการ “ชกข้างเดียว” คมช. จับมัดมือ มัดเท้า มัดปาก ยัง ได้เสียง มามากขนาดนี้ หากไม่มี คมช. จะ มากกว่านี้ขนาดไหน ไม่อยากจะนึก
เมื่อเจ้าของ อำนาจอธิปไตย ให้ความไว้วางใจ ทุกคน ทุกฝ่าย ควรต้อง เคารพ ซึ่งคะแนน อันบริสุทธิ์ผุดผ่อง เหล่านี้
การมาตัดสินว่าคุณสมัคร หรือ ร.ต.อ.ดร.เฉลิม และพรรคพลังประชาชน เป็นนอมินีของ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ นั้นเป็นการดูถูกดูแคลนประชาชนมากเกินไปหรือไม่
เพราะเมื่อประชาชนเลือก “พรรคพลังประชาชน” ด้วยคะแนนเสียงท่วมท้นขนาดนี้ พรรคการเมืองนี้จะเป็นนอมินีของใครไปไม่ได้ นอกจากจะเป็น “นอมินีของประชาชน” ที่ได้ให้อาณัติสัญญาณให้มาทำหน้าที่ใน ฝ่ายนิติบัญญัติ และ ฝ่ายบริหาร ตามครรลองประชาธิปไตย
“นอมินีประชาชน” หรือ “ตัวแทนประชาชน” อันนี้มีหลักฐานชัดแจ้ง คือ บัตรลงคะแนน เมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2550 ยืนยันชัดเจน ไม่ใช่เลื่อนลอย เหมือนที่พูดเรื่อง “นอมินีระบอบทักษิณ” ในเวลานี้ เพื่อให้คนหลงเชื่อและเข้าใจผิด
ดังนั้นใครที่จะไปร่วมกับคนกลุ่มนี้ หากคิดที่จะได้ยินเสียงผ่านทีวี วิทยุ “โปรดฟังอีกครั้ง” โดยไม่สำนึกตามที่ศาลสถิตยุติธรรมท่านได้พิจารณาตัดสินความเอาไว้ ระวังท่านจะกลายเป็นพวก กาลีบ้าน กาลีเมือง กับเขาไปด้วย