ที่มา ประชาทรรศน์
คอลัมน์ : บทความพิเศษ
วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมได้เขียนคอลัมน์ชื่อ ยุวประชาธิปัตย์ “กล้านรงค์ จันทิก” ต้องโดนนนน!!! ซึ่งดูเหมือนท่านผู้อ่านจะชอบใจกัน ทันทีที่เรื่องของมิสเตอร์กล้านรงค์ไม่แจ้งบัญชีทรัพย์สินให้ครบถ้วน ได้ตีพิมพ์ลงในประชาทรรศน์รายวันไปแล้ว ผมได้รับเอกสารสำคัญจากผู้หวังดีต่อชาติบ้านเมือง ได้ส่งหลักฐานหนี้สินที่เกี่ยวกับบ้านของนายกล้านรงค์ ซึ่งทั้งตัวเขาและครอบครัวอาศัยอยู่มาจนทุกวันนี้ อีกทั้งบ้านหลังนี้ยังเป็นที่ตั้งบริษัทซึ่งภริยาแลบุตรมีหุ้นอยู่ และกำลังจะมีเรื่องฟ้องร้องกับผู้ถือหุ้นเก่า ซึ่งเป็นเพื่อนนักเรียนประจำโรงเรียนเขมะศิริอนุสรณ์ กับภริยาของตัวเอง
เห็นแล้วขนลุก!
ที่ว่าอย่างนั้นก็เพราะ หลังจากที่ตรวจสอบหลักฐานกับหอทะเบียนที่ดินแล้วก็พบว่า ที่นายกล้านรงค์ให้สัมภาษณ์ว่าจำไม่ได้เรื่องการยื่นบัญชีทรัพย์สิน เพราะนานแล้ว เลยต้องทบทวนความจำให้นายคนนี้แกสักหน่อยว่า
นายกล้านรงค์เข้าไปรับตำแหน่งเป็น เลขาธิการ ป.ป.ช. เมื่อ 12 มีนาคม พ.ศ.2542 และพ้นตำแหน่งเมื่อ 1 ตุลาคม พ.ศ.2546
แต่ผมจะบอกให้ว่า
บ้านหลังที่นายกล้านรงค์อาศัยอยู่ทุกวันนี้ เป็นมรดกตกทอด แต่ได้นำบ้านไปจำนองกับ ธนาคารทหารไทย เป็นเงิน 1,350,000 บาท (หนึ่งล้านสามแสนห้าหมื่นบาท) ตั้งแต่วันที่ 15 ตุลาคม 2536 และขอเพิ่มวงเงินจนถึง 9 ล้านบาท และเพิ่งถ่ายถอนไปเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2548 หลังจากเจ้าตัวเกษียณแล้ว 2 ปี
นั่นหมายความว่า ในวันที่นายกล้านรงค์เข้ารับตำแหน่งเลขาธิการ ป.ป.ช. นั้น บ้านหลังดังกล่าวติดจำนองอยู่แล้ว จนกระทั่งถึงวันพ้นตำแหน่งคือวันที่ 1 ตุลาคม 2546 บ้านหลังนี้ก็ยังไม่ได้ไถ่ถอน ยังหมกเม็ดปิดบังการแจ้งบัญชีทรัพย์สินที่เป็นเท็จเอาไว้อย่างเหนียวแน่น!
พูดแค่นี้นายหัวเหน่งคงรู้แล้วว่าหลักฐานของผมนั้นเป็นของจริง แต่จะไม่นำเสนอเอง เพราะ พล.ต.ต.เสวก “อัศวินดำ” ปิ่นสินชัย เขาจองผ้าป่าเอาไว้แล้ว
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ
ดังนั้น การที่นายกล้านรงค์ออกมาแก้ตัวในทำนองว่าจำไม่ได้ เรื่องมันนานมาแล้ว ทำให้นึกถึงเวลาพวกตลกเขาออกลีลา ลูกเล่น ทำให้ผู้คนขบขัน ภาษาไทยเรียกว่า “มุกตลก” และชอบพูดย่อๆ ว่า “มุก” (สังเกตให้ดี “มุก” ใช้ ก.ไก่ สะกด ไม่ใช่ “มุข”) เช่น “มุกของโก๊ะตี๋นี่ดีเหลือเกิน ไม่แพ้ เอ็ดดี้ ผีน่ารัก ลูกพี่ของเขา” อีกคนตอบรับว่าจริง และเสริมต่อไปอีกว่า
“ไม่เมื้อนคณะของไอ้เต้บไตย มันย้ากเหลี่ยนแบบ ก็ออก ‘หมุกแป้ก’ ตล้อด”
ลืมบอกว่า ผู้พูดเป็นคนใต้ และไอ้ที่เขาพูดแปลว่า “ไม่เหมือนคณะของ
ไอ้เทพไทย มันอยากเลียนแบบ ก็ออก ‘มุกแป้ก’ ตลอด”
‘มุกแป้ก’ หมายถึง เล่นตลกแล้วคน “ไม่ขำ” ซึ่งเรื่องนี้ตลกกลัวมากที่สุด ก็ตรงออกมุกตลกแทบตาย คนดูดันไม่หัวเราะเสียอีก
มีอีกคำหนึ่งคือ ‘มุกควาย’ คำนี้ฮิตในหมู่วัยรุ่นขาโจ๋ แพร่หลายมากในเว็บไซต์ ซึ่งพอจะให้ความหมายได้ว่า
นอกจากจะออกมุกแป้กแล้ว ยังดันออกลูกทุเรศ เอาแต่ได้ หน้าหนา หรือโง่เง่าเต่าตุ่นฉิบหาย อะไรประมาณนี้แหละ!
ยกตัวอย่างให้เห็นดีกว่า...
ในวันที่ม็อบสังคังยกไปล้อมรัฐสภา นายมาร์ค ม.7 เดินมาดพระเอกโปรยยิ้มรับเสียงปรบมือจากบรรดาม็อบแฟนๆ ถูกใจแม่ยก เข้าไปตัวอาคารประชุม ทำเป็นไม่รู้ว่าประชุมเปิดไม่ได้ แต่ประชาชนเขารู้เช่นเห็นชาติ มุกของสมาชิก พรรคฝ่ายค้านดักดาน ซึ่งเป็นผู้แทนราษฎร ที่ดันชอบเล่นนอกสภา ในวันนั้นก็เป็นแกนนำเดิน ‘ตั้งตะลิ๊ดติ๊ดตั้งๆๆๆ’ นำขบวนพันธมารเข้าล้อมสภา
ผู้คนพากันส่ายหน้าเป็นพัดลมเบอร์สี่ ในความไม่เข้าท่าของการเล่นมุกนี้ของฝ่ายค้านดักดาน แต่นายมาร์ค ม.7 ยังทะลึ่งลอยหน้าลอยตาบอกว่าพรรคไม่เกี่ยวข้อง ใครเขาจะไปเชื่อ
มุกแบบนี้เด็กอมมือก็รู้ทัน ก็นับว่าเป็น ‘มุกควาย’ ชัดเจน ดังนั้นต่อไปนี้จะไม่เรียกแล้วว่า ‘มาร์ค ม.7’ แต่ขอขนานนามฉายาให้ใหม่ตั้งแต่บัดนี้ว่า
‘นายมาร์ค...มุกควาย’
เมื่อวันอังคารที่ 25 พฤศจิกายน 2551 ประชาทรรศน์คอลัมน์ได้ลงข่าวหน้า 5 ซึ่งผมจะนำมาให้ท่านผู้อ่านได้ดูกันอีกครั้ง โดยไม่ตัดทอนหรือดัดแปลงแต่อย่างใด ข่าวที่ว่ามีดังนี้ครับ
** เรื่องลึกๆ ลับๆ เราเอามาเปิดเผยเสียให้หมด...เมื่อสัปดาห์ก่อนมีการประชุมร่วมกองอำนวยการปกป้องม็อบโกเต๊กซ์หรืออย่างไรไม่ทราบได้ เห็นว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. โดนเสยคางเข้าเต็มเปา!!! นี่คือสาเหตุที่ต้องหลบเข้าบ้านสี่เสาเทเวศร์ มันมีเรื่องลึกๆ ลับๆ ที่ต้องเอามาเปิดเผยกัน อันเนื่องจากที่ประชุมร่วมฝ่ายทหารดันไปเสนอเอกสารต่อ สมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายกรัฐมนตรี ให้ออกมาตรการให้ตำรวจใช้เพียงโล่และรถน้ำในการเข้าควบคุมฝูงชนเท่านั้น!!! ทั้งที่ผู้ชุมนุมมีทั้งอาวุธปืน ระเบิดปิงปอง และอาวุธสงครามไม่ทราบชนิด โดยแกนนำป่าวประกาศให้พก “ของ” มาเต็มอัตราศึก!!! พร้อมๆ กับการปลุกระดม “สงครามทุบหม้อข้าว” และ “ทำสงคราม 9 ทัพ”
** พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ ผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงจำเป็นต้องออกโรงมาปกป้องลูกน้อง “หมายความว่าจะให้ผู้ชุมนุมบุกเข้าไปในรัฐสภาเลยใช่หรือไม่?” เพราะการที่เจ้าหน้าที่ไม่ได้ใช้อาวุธอื่นในการเข้าปราบปรามฝูงชนตามแบบอย่างของนานาอารยประเทศ เท่ากับจำยอมต้องเปิดทางให้ “ม็อบโกเต๊กซ์” เมื่อสถานการณ์ของตำรวจเปรียบเสมือน “เสือไร้เขี้ยว” ดังนี้ คำตอบจากฝ่ายทหารน่าตกใจไหม? ฝ่ายทหารเขาบอกว่า...“ใช่”... ให้ม็อบโกเต๊กซ์บุกเข้าไปยึดอาคารรัฐสภาได้เลย...
ไม่รู้ว่าจะเป็นการดูแลเหตุการณ์ในลักษณะใด แทง แทนไท ได้แต่ภาวนาว่าอย่าให้เป็นการคุ้มกัน และเปิดทางให้ “ม็อบโกเต๊กซ์” บุกยึดอาคารรัฐสภา ตามอำเภอใจ ถ้าเป็นแบบนั้น แทง แทนไท ปลงอนิจจัง ประเทศไทย...โอ้เวรกรรม...โอ้เวรกรรม...
อ่านตรงนี้แล้ว หากเป็นความจริงตามที่ ‘เแทง แทนไท’ เขียนให้ผู้คนได้อ่านกัน ก็ยิ่งสลดใจหนักเข้าไปอีก เพราะผมเพิ่งเขียนไปในประชาทรรศน์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมาว่า
คลื่นทหารที่ผู้คนข้องใจมากๆ คือ สถานีวิทยุอย่าง เอฟเอ็ม 101 ของ บก.สูงสุดเดิม ตอนนี้เป็นกองทัพไทย ซึ่งดำเนินการโดย ไอ้เอนเอน เพราะมันเอนจนราบเลยทีเดียว ด่ารัฐบาลสนุกสนาน อะไรที่รัฐบาลทำหรือคิดจะทำ กลายเป็นของระยำตำบอนไปเสียทั้งสิ้น แถมผู้ดำเนินรายการบางคน ค่ำลงก็ย้ายตูดเท่าตุ่มไปโผล่หัวกบาลสำรากอยู่ที่ ASTV และคลื่นวิทยุ 92.25 อย่างนี้เป็นต้น
ผู้คนสงสัยคับข้องใจว่า เอ๊ะ...ทำไมคลื่นทหารนอกจากไม่วางตัวเป็นกลางแล้ว ยังทะลึ่งทำหน้าตาตายให้ท้ายพร้อมประคองยกหางแดงให้ไอ้พวกมารสังคังมันอีก แต่พอเห็นคอลัมน์ของ “แทง แทนไท” แล้วก็คงพากันร้องออกมาว่า
“อ๋อ...วิทยุทหารเล่น ‘มุกควาย’ อย่างนี้เองหรือ!?!”
ผมเขียนหนังสือวันนี้ด้วยความขัดเคือง ขอถามไปถึงบรรดาผู้นำทหารแบบตรงไปตรงมาว่า
ทหารที่เป็น ‘ลูกผู้ชาย’ หายหัวไปไหนกันหมด!
ลองเล่นเป็น “พาลีตีสองหน้า” กันแบบนี้แล้ว พี่น้องประชาชนคนไทยไม่ต้องหวังว่าพวกทหารจะดูแลแผ่นดินไทยอย่างมีประสิทธิภาพได้อย่างไรกัน?
กะอีแค่ใจกลางเมือง หน้ากองบัญชาการทหารเองแท้ๆ ยังปล่อยให้ไอ้พวกนอกกฎหมายมันเข้ามายึดได้โดยง่าย
ทำต่อหน้าต่อตาทหาร...
กลายเป็นดินแดนเอกราช มีผู้ปกครองกลุ่มใหม่ ศาสนาใหม่ ลัทธิใหม่ ซึ่งจะใช้วิธีการปกครองแบบใหม่ (แบบไหนก็ไม่รู้ เพราะตัวมันเองก็ไม่รู้เหมืนกัน!)
แถมยังเอาโกเต๊กซ์ไปป้ายที่หมุดพระบรมรูป ต่อเบื้องพระพักตร์องค์พระผู้สถาปนา โรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้า
เหยียบย่ำศักดิ์ศรีทหาร...แหลกลาญไปเลย!
นี่เป็นเพราะนายทหารใหญ่ๆ ยอมคู้เข่าเชิดชูให้พวกม็อบสังคัง ทหารเล็กๆ เลยพลอยต้องเสื่อมศักดิ์และศรีไปด้วย
ตั้งแต่ยังเด็ก ผมเคยได้ยินแต่คำพูดที่ว่า ทะแกล้วทหารหาญนั้น...
Bloody but unbowed
หมายความว่า "เลือดกลบ...แต่หัวไม่ก้ม!"
แต่นี่ดันหัวก้ม ทั้งๆ ที่เลือดไม่ได้กลบหัวเถิกอะไรเลย...แม้แต่นิด!
ท่านผู้อ่านที่โตสักหน่อย เรียนภาษาไทยชั้นมัธยมศึกษา คงจะเคยท่องบทร้อยกรอง ซึ่งเป็นบทพระราชนิพนธ์ของล้นเกล้าฯ รัชกาลที่ 6 ที่ทรงนิพนธ์ไว้ว่า
ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง คงจะต้องบังคับขับไส
เคี่ยวเข็ญเย็นค่ำกรำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย
เขาจะเห็นแก่หน้าค่าชื่อ จะนับถือพงศ์พันธุ์นั้นอย่าหมาย
ไหนจะต้องเหนื่อยยากลำบากกาย ไหนจะอายทั่วทั้งโลกา
เด็กๆ ที่ท่องร้อยกรองนี้ได้ ผมเชื่อว่าน้อยคนที่จะทราบว่านี่คือบรรยากาศของชาติไทย ในเหตุการณ์ ร.ศ.112 และส่วนหนึ่งที่ถ่ายทอดผ่านพระราชนิพนธ์ในรัชกาลที่ 6 โดยบรรยายถึงความอึมครึมในพระนครเมื่อวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ.2436 ซึ่งเต็มไปด้วยความตึงเครียดใกล้ถึงจุดระเบิด และในพระบรมมหาราชวัง เจ้านายและขุนนางต่างรอฟังข่าวด้วยใจระทึก
มาถึงวันนี้ เหตุการณ์บ้านเมืองทำให้ผู้คนระทึกมาตั้งแต่ต้นสัปดาห์ ด้วยพระอาญาไม่พ้นเกล้าฯ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต แด่ดวงพระวิญญาณฯ ของสมเด็จพระมหาธีรราชเจ้า ในการที่จะดัดแปลงบทพระราชนิพนธ์ให้เหล่าผู้บังคับบัญชาทหารได้อ่านกัน ดังนี้
"ใครมาเป็นเจ้าเข้าครอง กูไม่กล้าบังคับขับไส
ให้มันมาเคี่ยวเข็ญเย็นค่ำกรำไป ตามวิสัยเชิงเช่นผู้เป็นนาย
เขาจะเห็นแก่หน้าค่าชื่อ จะยึดถือพงศ์ทหารนั้นอย่าหมาย
ไหนจะต้องเหนื่อยยากลำบากกาย ไหนจะอายทั่วทั้งโลกา"
ก็น่าอายทั่วทั้งโลกาหรอก ค่าที่พวกทหารตัวนายไม่คิดแม้แต่ยื่นมือมาช่วยเจ้าหน้าที่ตำรวจ วางตัวเพิกเฉยเป็นสากกะเบือทิ่มครกอยู่ในพิพิธภัณฑ์ แถมยังด่าว่าและกล่าวหาตำรวจที่พยายามรักษาความสงบเสียหายว่า ใช้ความรุนแรง ติดตามด้วยการข่มขู่นายกรัฐมนตรีที่เป็นผู้บังคับบัญชาเหนือตนอีกด้วย!
บอกกันตรงๆ นะ
สิ่งที่ผู้คนเขาดูแคลน เพราะเห็นนายทหารที่รบเก่งในสนามกอล์ฟทั้งหลาย ไม่ได้มีแม้แต่ความพยายามที่คิดจะต่อสู้ศัตรูประเทศเพื่อปกป้องดินแดนใจกลางเมือง และเหตุการณ์เมื่อวันจันทร์ที่ 23 พฤศจิกายน 2551 ก็เล่นบทติ๊ดชึ่ง รักษารูปมวย (ที่ไม่ค่อยจะมีรูป) แต่หากเรามองลึกเข้าไปในจิตใจของนายทหารตัวดังแล้ว
ผมเชื่อโดยปราศจากข้อสงสัยว่า
พวกเขาไม่มีเจตจำนงแน่วแน่ในการป้องกันอาคารสำคัญของชาติ ที่ตั้งในเขตพระราชฐาน คือ
“รัฐสภา”
ร้ายที่สุดก็คือ ปล่อยให้บ้านเมืองของเราดิ่งลงเหวในเรื่องความเชื่อมั่น เกียรติยศและศักดิ์ศรีของชาติ ทำให้ชาวบ้านตกอยู่ในความประหวั่นพรั่นพรึง ไม่รู้อนาคต ไหนจะปัญหาเศรษฐกิจรุมเร้าเข้ามาอีก
แถมเมื่อไอ้พวกม็อบสังคังมัน ‘ก่อการร้าย’ ด้วยการเข้ายึดสนามบินนานาชาติ อันเป็นประตูเข้าออกของประเทศ
...ฝ่ายทหารยังคงงอมืองอตีน ไม่ยอมช่วยเหลือเจ้าหน้าที่บ้านเมืองอื่นอีก!
การแสดงออกอย่างนี้ ทำให้ชาวบ้านเขาขมขื่น แปลความเอาว่า ทหารขาดความมุ่งมั่นในการช่วยป้องกันรักษาชาติบ้านเมือง รักษาทรัพย์สมบัติของแผ่นดินเอาไว้ให้ลูกหลานคนรุ่นหลัง ก็อย่างนี้แล้ว...
จะรักษาขวานทองทั้งด้ามได้อย่างไรกัน ?!?
แม้สันขวาน...ก็จะไม่เหลือ!
หรือจะเหลือ “สันขวาน” ไว้ทำหน้าหมวกทหาร โดยเฉพาะพวกที่พร้อมจะคุกเข่ารับใช้พันธุ์มารต่อไป
ในวันที่พวกมันขึ้นเป็นเจ้านาย...เข้าครอบครองประเทศไทย!
/////////////////////////////////////////
****ผู้คนแห่กันเข้ามาสั่งซื้อหนังสือสำคัญ ชื่อ “นินทาประชาธิปัตย์ (ฝ่ายค้าน-ดักดาน)” ส่งท้ายปี พ.ศ.2551 จองซื้อได้ใน vattavan.com
อ่านได้อ่านดี ไม่ว่าจะอยู่ข้างฝ่ายค้านหรือรัฐบาล...
...............