ที่มา ประชาทรรศน์
คอลัมน์ : ตะแกรงข่าว
โดย *อัฐศิริ*
รัฐบาลนี้เข้ามาถือได้ว่าเป็น “ทุกขลาภ” เพราะมีปัญหาต่างๆ รอการสะสางแก้ไข ล้วนเป็นเรื่องที่สาหัสทั้งสิ้น ทั้งเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ต่างพร้อมใจพาเหรดมากันพร้อมหน้า
มีเสียงเตือนออกมาว่า รัฐบาลอย่ามุ่งแต่จะแก้ปัญหาเศรษฐกิจในภาพใหญ่อย่างเดียว โดยมองข้ามการมีส่วนร่วมในระดับพื้นที่ระดับท้องถิ่นเด็ดขาด เพราะคนส่วนใหญ่เป็นคนในชนบท และถูกปล่อยปละละเลยมานานพอสมควร หลังจากที่ คมช. เข้ามายึดอำนาจ
ที่สำคัญคนเหล่านี้ต่างหาก จะเป็นผู้กำหนดอนาคตหรือชี้ชะตารัฐบาล ว่าจะไปรอดหรือไม่อย่างไร
เพราะฉะนั้นรัฐบาลต้องแก้ปัญหาในระดับชาติควบคู่ไปกับในระดับท้องถิ่น ซึ่งในระดับท้องถิ่นจะแก้ได้ง่ายกว่า
แต่มีเงื่อนไขว่า รัฐบาลสามารถสร้างความเชื่อถือและศรัทธาให้เกิดขึ้นได้หรือไม่เท่านั้น
วันนี้รัฐบาลมีมือไม้ มีกลไกอยู่เต็มพื้นที่ แต่ช่วงเวลาที่ผ่านมา กลไกเหล่านี้ยังมองว่า ประชาชนคือ ผู้ที่รอรับโอกาส รอรับความช่วยเหลือเท่านั้น ซึ่งมันไม่ใช่แล้ว
ความจริงแล้ว ปัญหาในพื้นที่ ย่อมไม่มีใครรู้ดีกว่าคนในพื้นที่
หนูยังช่วยราชสีห์ได้ ฉันใด รากหญ้าก็คือ ความเข้มแข็งของระบอบประชาธิปไตย ฉันนั้นที่สำคัญ เรายังมีการปกครองท้องถิ่น ที่นับวันมีความเข้มแข็งยิ่งขึ้น จะเป็นฐานของการพัฒนาประเทศชาติในด้านต่างๆ
ไม่ต้องสงสัยว่า เมื่อวันหยุดปีใหม่ ทำไมคนถึงทะลักไป อ.ปาย จ.แม่ฮ่องสอน กันมากมาย
เพราะนี่เป็นผลพวงเป็นตัวอย่างที่ดีในการดูแล และใช้ทรัพยากรในชุมชนให้เกิดประโยชน์สูงสุดโดยปัจจุบันชาวบ้านตื่นตัวมากขึ้น กล้าที่จะคัดค้าน และไม่ตอบสนองนโยบายบิดเบี้ยวที่ส่งผลกระทบต่อชุมชน ไม่ทำในสิ่งที่ประชาชนไม่เห็นด้วยไม่ต้องการ
เพราะฉะนั้นคนที่จะเข้าไปให้ถึง “พื้นที่” และเข้าให้ถึง “จิตใจ” ของคนเหล่านี้ก็คือคนในพื้นที่ในท้องถิ่นนั่นเอง ซึ่งจะสะท้อนถึงความห่วงหาอาทร ความห่วงใย มีความรัก มีไมตรีให้กัน
คนในพื้นที่นี่แหละครับ ที่จะมาแก้ปัญหาความแตกแยก การแบ่งขั้ว การขัดแย้งทางความคิดได้ เพราะสามารถพูดจากันได้ด้วยเหตุด้วยผล ด้วยข้อมูลข่าวสารที่เป็นจริง ไม่มีการบิดเบือน ไม่ใช่ประเภทได้ฟังเขาเล่าว่า แล้วเฮโลไปกับเขา โดยขาดสติ ไตร่ตรองนึกคิด อย่างรอบคอบถี่ถ้วน
ความบอบช้ำเสียหายของประเทศชาติ ทั้งในด้านเศรษฐกิจและชื่อเสียงเกียรติภูมิของประเทศ จากการกระทำของ “กลุ่มพันธมาร-ม็อบโกเต๊กซ์” ที่ไปปิดยึดสนามบินดอนเมือง สนามบินสุวรรณภูมิ แม้รู้ดีว่าจะเกิดความเสียหายอย่างมากมายมหาศาลก็ตาม ชัดเจนว่าเป็นการทำลายชาติ ทำลายเศรษฐกิจ ป่วนเมือง กระทำการการละเมิดกฎหมาย
จึงเป็นเรื่องที่ต้องจดจำ และทวงถามความถูกต้องเป็นธรรมจากผู้มีอำนาจ เพื่อให้กฎหมายมีความศักดิ์สิทธิ์ ให้บังคับใช้กับทุกคนอย่างเสมอภาคกัน ซึ่งต้องจับตามองกันต่อไป
สำหรับรัฐบาล ผลงานจากการปฏิบัติหน้าที่เท่านั้น ที่จะเป็นคำตอบสุดท้ายจริงๆ ครับ
ด้วยเครื่องมือของรัฐบาลที่มีอยู่คือ ผู้ว่าราชการจังหวัดทั่วประเทศ ที่ครั้งหนึ่งถูกเรียกว่า ผู้ว่าฯ ซีอีโอ เพื่อให้เกิดความคล่องตัวในการบริหารจัดการ การแก้ปัญหาให้กับพี่น้องประชาชนในพื้นที่ ซึ่งในวันนี้ดูจะแผ่วลงไป จึงต้องหาทางให้ผู้ว่าฯ ซีอีโอ กลับมาเข้มแข็ง ให้เป็นที่พึ่งของประชาชนในจังหวัดให้ได้
กึ๋นของผู้ว่าฯ ซีอีโอ ดูกันตรงนี้ครับ ดร.สิทธิศักดิ์ ชำปฏิ ผู้อำนวยการวิทยาลัยการอาชีพขอนแก่น ในฐานะผู้อำนวยการศาลาไหมไทย อ.ชนบท จ.ขอนแก่น บอกว่า ภายหลังจากที่ศาลาไหมไทยชนบท ได้รับงบประมาณสนับสนุนจากผู้ว่าฯ ซีอีโอ เป็นจำนวน 1.3 ล้านบาท ได้นำมาพัฒนาปรับปรุงศาลาไหมไทยทั้งภายในและภายนอก พร้อมกับได้มีการจัดโชว์ผ้าไหมลายโบราณ ลายประยุกต์กว่า 400 ผืน ภายในศาลาฯ จากเดิมที่ก่อนหน้านี้จะเก็บไว้ในตู้โชว์ มีห้องแสดงนิทรรศการ ห้องจำหน่ายผ้าไหม ผ้าพื้นเมือง และผลิตภัณฑ์ลายผ้าไหมแบบต่างๆ อีกด้วย นอกจากนี้ ภายในอาคารยังได้จัดแสดงกรรมวิธีการผลิตตั้งแต่มัดย้อมจนถึงวิธีการทอ อุปกรณ์เครื่องใช้เกี่ยวกับไหมและของเก่าแก่ที่ควรค่าแก่การอนุรักษ์
จากการที่ได้พัฒนาปรับปรุงและเปลี่ยนภาพลักษณ์ของศาลาไหมไทย จนทำให้ล่าสุด ศาลาไหมไทยได้รับ รางวัลทัวริสซึ่มอวอร์ด ประจำปี 2551 ประเภทแหล่งท่องเที่ยวด้านวัฒนธรรมดีเด่น ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ จากการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย
แต่ความเห็นของ รศ.ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ก็ไม่อาจมองข้ามไปได้เหมือนกัน
อ.ธเนศวร์ ได้วิเคราะห์ระบบผู้ว่าฯ แบบบูรณาการ ว่าแนวคิดของระบบผู้ว่าฯ แบบบูรณาการ กล่าวให้ถึงที่สุดก็คือ แนวคิดที่ว่าด้วยการรวมศูนย์อำนาจแบบเอกภาพ ที่มุ่งแก้ไขปัญหาการรวมศูนย์อำนาจแบบแยกส่วนที่ดำเนินการมาหลายทศวรรษและก่อปัญหาหลายด้านต่อท้องถิ่นต่างๆ และการพัฒนาประเทศโดยภาพรวม
สรุปว่า ผู้ว่าฯ ซีอีโอในระยะเวลา 3 ปีที่ผ่านมา จะด้วยข้อจำกัดในการหาคนมาเป็นผู้ว่าฯ ซีอีโอ หรืออย่างไรไม่ทราบ ทำให้ผู้ว่าฯ ซีอีโอ ยังเป็นผู้รับใช้นักการเมือง และต้องทำงานรับใช้มากขึ้นเมื่อนักการเมืองไปตรวจงานบ่อยครั้ง ยังไม่ใช่ผู้บริหารสูงสุดที่แท้จริงของจังหวัด เพราะไม่มีอำนาจบังคับบัญชาหัวหน้าส่วนราชการคนใดได้เช่นเดิม ระบบการรวมศูนย์อำนาจจึงยังคงอยู่ต่อไป
สำหรับทางแก้เรื่องนี้ อ.ธเนศวร์ เสนอว่า
1. จัดตั้งสภาจังหวัดที่ประกอบด้วยตัวแทนประชาชนจากสาขาอาชีพต่างๆ เพื่อเข้าร่วมประชุมกับผู้ว่าฯ เดือนละ 1-2 ครั้ง โดยสามารถเสนอปัญหา ซักถามและเสนอแนะแนวทางแก้ไข ฯลฯ
2. เพิ่มอำนาจด้านการบริหารบุคลากรของผู้ว่าฯ ให้เป็นผู้บริหารสูงสุดของจังหวัดอย่างแท้จริง แม้ในระยะแรกๆ ผู้ว่าฯ ในระบบใหม่อาจจะยังไม่สามารถโยกย้ายข้าราชการได้ แต่อย่างน้อยก็ควรมีอำนาจในการเสนอให้คุณให้โทษแก่ข้าราชการในจังหวัด หรือให้รัฐบาลรับฟังเสียงของผู้ว่าฯ เกี่ยวกับปัญหาบุคลากรในจังหวัด
3.ให้แต่ละจังหวัด จัดทำแผนพัฒนาจังหวัดระยะ 10 ปีถึง 20 ปี โดยให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการแสดงความคิดเห็นและเห็นชอบ นอกจากนี้ก็ขอให้ถือว่านั่นคือแผนที่ทุกฝ่ายจะต้องปฏิบัติตามแผนดังกล่าว ไม่ปล่อยให้หน่วยบริหารราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาค คิดแผนงานและกำหนดงบประมาณในการพัฒนางานของตนขัดแย้งกับแผนดังกล่าว
4.เพิ่มอำนาจของผู้ว่าฯ ร่วมกับหน่วยบริหารราชการในจังหวัด สามารถแก้ปัญหาส่วนใหญ่ของประชาชนได้ โดยไม่ต้องให้ประชาชนเดินทางไปไกลถึงทำเนียบรัฐบาล
อ.ธเนศ เจริญเมือง ยังเห็นว่า ทิศทางการพัฒนาสังคมประชาธิปไตยปัจจุบัน ควรมุ่งสู่การมอบอำนาจให้กับท้องถิ่นมากขึ้น การกำหนดให้ผู้ว่าฯ เป็นผู้บริหารสูงสุดและทำงานเป็นกลุ่มร่วมกับประชาชนทุกสาชาอาชีพ จึงเป็นการก้าวที่ถูกต้องแล้ว แต่ที่ยังทำไม่ได้ก็คือ การจัดตั้งสภาประชาชนเพื่อเปิดโอกาสและส่งเสริมให้ภาคประชาสังคม ได้มีส่วนร่วมในการบริหารจัดการจังหวัดร่วมกับผู้ว่าฯ ได้อย่างแท้จริง
ก่อนจะก้าวไปสู่การให้ผู้ว่าราชการจังหวัด ควรมาจาการเลือกตั้งจากประชาชนในจังหวัดนั้นๆ ต่อไป
ต้องเชื่อไว้ก่อนว่า ปีใหม่นี้จะดีกว่าปีเก่าครับ เพราะรัฐบาลมีบทเรียนมากมาย
ทั้งหลายทั้งปวงจึงอยู่ที่ “ผลงาน” ครับ ว่าจะเป็นที่ยอมรับของประชาชนแค่ไหนอย่างไร รวมทั้งนำข้อสังเกตข้อเสนอจากนักวิชาการไปใช้มากน้อยแค่ไหนอย่างไร
สุดท้ายนี้ เพื่อให้คนไทยสามารถยืนสู้กับปัญหาที่จะมาถึงตัว ขออ้างถึง ท่านพุทธทาส ซึ่งท่านเคยกล่าวให้พรปีใหม่ไว้ว่า ขอให้ความเห็นแก่ตัวลดลง ความไม่เห็นแก่ตัวเพิ่มขึ้น ความไร้ศีลธรรมลดลง ความมีศีลธรรมเพิ่มขึ้น สันติสุขส่วนบุคคลและสันติสุขส่วนสังคมเพิ่มขึ้นตามส่วน จนเห็นได้ว่าเพิ่มมากขึ้นกว่าปีเก่า...
ย้ำอีกครั้งว่า สิ่งที่จะเป็นเครื่องพิสูจน์รัฐบาลก็คือผลงานครับ
แม้ว่านโยบายจะหรูเลิศประเสริฐวิเศษอย่างไร ถ้าไม่ได้ลงมือทำ ก็ไม่มีอะไรดีขึ้น
ดีแต่ปาก ใจไม่ดี ดีทำไม ให้ผีใย เย้ยเยาะ เหมาะหรือเรา