ที่มา บางกอกทูเดย์
หน้าประวัติศาสตร์การเมืองไทยจารึกไว้ว่า...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่ 7 ถัดจาก นายควง อภัยวงศ์, ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมช, พ.อ.ถนัด คอมันตร์, นายพิชัย รัตตกุล, นายชวนหลีกภัย, นายบัญญัติ บรรทัดฐานและยังจารึกไว้อีกว่า...อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์คนที่ 4 ที่ได้เป็นนายกรัฐมนตรี คนที่ 27 ถัดจาก นายควง อภัยวงศ์ นายกรัฐมนตรี คนที่ 4, ม.ร.ว.เสนีย์ ปราโมชนายกรัฐมนตรี คนที่ 6 และนายชวน หลีกภัย นายก
รัฐมนตรี คนที่ 20นั่นคือ อดีตจนมาถึงปัจจุบัน สำคัญยิ่งกว่านั้นก็คือหน้าประวัติศาสตร์แห่งความภาคภูมิใจเกียติยศ ศักดิ์ศรี ของพรรคประชาธิปัตย์กำลังจะนำไปสู่อนาคตอนาคตที่จะต้องจารึกในประวัติศาสตร์ว่าอย่างไร?คงไม่ต้องพูดถึงที่มาของตำแหน่งนายกรัฐมนตรีที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้มาคงไม่ต้องพูดถึงที่มาของรัฐบาลประชาธิปัตย์แต่คงปฏิเสธไม่ได้ว่า จากนี้ไป หน้าประวัติศาสตร์ การเมืองจะถูกบันทึกไว้ว่าอย่างไรนั่นสำคัญกว่าเพราะว่า...ตรงนั้นมันจะบอกอะไร
อีกหลายอย่าง...เพราะตรงนั้นเป็นรอยต่อของระบอบประชาธิปไตยในการจากไปของพรรครัฐบาลชื่อ พรรคประชาธิปัตย์และแน่นอนว่า...การจากไปของนายกรัฐมนตรี คนที่ 27 ชื่อ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะจะเกิดผลต่อระบอบประชาธิปไตยจะเกิดผลต่อตัวนายกรัฐมนตรีคนที่กำลังจะจากไปด้วยเพราะรัฐบาลวันนี้ของประเทศไทยถือว่าเป็นรัฐบาลที่ยากจนเพราะแรงกระทบของเศรษฐกิจโลกและเศรษฐกิจภายในประเทศแต่ดูจากการใช้จ่ายเงินของรัฐบาลแล้ว ตรงกันข้ามกัน
เสมือนว่า รัฐบาลมีเงินมหาศาล ถึงได้ใช้จ่ายเงินมากมาย แม้กระทั่งตั้งความหวังไว้กับเงินกู้มหาศาลที่จะนำมาใช้ในอนาคตรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่เคยมีมิตรมากมายมหาศาลตอนได้เข้ามาเป็นรัฐบาลแต่วันนี้ รัฐบาลชุดเดียวกัน กำลังมีศัตรูทางการเมืองเพิ่มขึ้น แม่กระทั่งในพวกของรัฐบาลด้วยกันเองนี่คือ อันตรายอย่างยิ่งของการอยู่ร่วมกันเป็นรัฐบาลพวกเดียวกันคนละพรรคอนาคตประเทศไทยวันหน้าขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คนเดียวเท่านั้น