ที่มา บางกอกทูเดย์
เคยมีนักวิชาการสอนผู้เขียนไว้ว่า หากจะวิเคราะห์หรือตีความสถานการณ์ ขอให้มองสถานการณ์แบบดูหนังแผ่น เพราะหนังแผ่นถ้านำมาดูผ่านเครื่องวีซีดี หรือ ดีวีดี ที่บ้านเราสามารถกดปุ่มหยุดชั่วคราว หรือให้เล่นไปทีละเฟรม จะเห็นรายละเอียดได้ชัดเจนขึ้นฉะนั้น หากถามว่า เร็วเกินไปหรือไม่ ในการวิจารณ์การทำงานของรัฐบาลอภิสิทธิ์?ผู้เขียนขอตอบว่า ไม่เร็วและไม่ช้า เพราะรัฐบาลอภิสิทธิ์มีข้อมูลที่จะต้องแก้ปัญหาจากการตรวจสอบรัฐบาลก่อนหน้าแน่นปึ๊ก เห็นได้จากการหยิบยกข้อมูลต่างๆขึ้นมาอภิปรายรัฐบาลหลายยุคหลายสมัยดังนั้น รัฐบาลอภิสิทธิ์จึงไม่ใช่มือใหม่ แต่เป็นรัฐบาลที่มี “บทเรียน” การทำงานจาก
รัฐบาลสมชาย วงศ์สวัสดิ์ สมัคร สุนทรเวช และพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่เต็มกำมือการบริหารประเทศเพื่อความมั่นคง ความมั่งคั่งของชาติ ความสงบเรียบร้อยของบ้านเมือง และการสร้างความสามัคคีภายในชาติถือเป็นหน้าที่ของรัฐบาลโดยตรงไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลชุดไหนก็ตามนับแต่เข้าถวายสัตย์ปฏิญาณต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและแถลงนโยบายต่อรัฐสภาดูเหมือนว่า รัฐบาลอภิสิทธิ์ยังไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลยแทนที่รัฐบาลจะดำเนินการตามความ
สำคัญเร่งด่วนที่แถลงนโยบายไว้ แต่รัฐบาลกลับให้ความสำคัญกับการตามล่าพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นอันดับแรก ปูนบำเหน็จรางวัลในความสามัคคีในการเปลี่ยนขั้วการเมืองเป็นอันดับรอง สารพัดปัญหาที่ประชาชนโดยทั่วไปไม่ได้เดือดร้อนด้วยเลยส่วนเรื่องที่ประชาชนเดือดร้อนไม่ว่าปัญหาน้ำท่วมในหลายพื้นที่ ทำให้นาไร่ล่มไปนับแสนไร่ ราคาพืชผลการเกษตรตกต่ำจนเกษตรกรต้องออกมาชุมนุมประท้วง ภาคอุตสาหกรรมเริ่มได้รับผลกระทบจากวิกฤติเศรษฐกิจ
โลกจนโรงงานต้องปิดตัวและปลดคนงานออกจำนวนไม้น้อย ทำให้เกิดการว่างงานเพิ่มขึ้น การเตรียมตัวรับมือเศรษฐกิจของประเทศในปีนี้และปีหน้าที่มีแนวโน้มชะลอตัว รัฐบาลกลับให้น้ำหนักน้อยกว่าความน่าจะเป็น…เราไม่ค่อยเห็นนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีกระตือรือร้นไปดูแลปัญหาที่ประชาชนเดือดร้อนดังที่ควรจะเป็นเราพยายามดูข่าวทางโทรทัศน์และข่าวผ่านสื่อต่างๆ สิ่งที่มักจะเจอคือ การเป็นประธานเปิดงาน หรือเป็นเพราะการประชาสัมพันธ์ของภาครัฐไม่ดี
ตามที่ สาทิตย์ วงศ์หนองเตย รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ชอบอ้างว่า “ไม่ได้ให้ความสำคัญในการประชาสัมพันธ์”2 เดือนกับการ “เฟ้นหา” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ โดยมีนายกรัฐมนตรีหน้าหล่อโดดลงสนามออกแรง “วิ่งสู้ฟัด” เสมือนเป็นเรื่องเร่งด่วนอันดับแรกว่ากันว่าตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติมันคือ “ความเป็นความตาย”การที่รัฐบาลเร่งรัดโครงการขนาดใหญ่มูลค่าหลายหมื่นล้านบาท อาทิ ถนนไร้ฝุ่น รถเมล์เอ็นจีวี หรือโครงการประชานิยม
อาทิ การอัดฉีดเงิน 2,000 กระตุ้นเศรษฐกิจ อัดฉีดเงินหัวละ 2,000 บาท ให้กับพนักงานรัฐวิสาหกิจเวลานี้ประเทศชาติมีปัญหาด้านความมั่นคงรุมเร้าเข้ามาทุกด้าน โดยเฉพาะความแตกแยกของคนในชาตินั้น แทนที่รัฐบาลจะใช้ความพยายามทุกหนทางหาทางระงับยับยั้งบางคนในรัฐบาลและเจ้าหน้าที่บางส่วนกลับหลับตาข้างเดียวเมื่อปัญหาล้นคอหอย ประชาชนแบกรับไม่ไหว นำมาสู่การเรียกร้องให้คนในรัฐบาลลาออก แต่ยังยืนยันว่า “อยู่ต่อเพื่อพัฒนาชาติ”โอกาส
เป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่ใช่เรื่องแปลกที่การยอมยกธงขาวโบกมือลาจากตำแหน่งเป็นเรื่องยากแต่ครั้งหนึ่งในชีวิตเมื่อได้เป็นนายกรัฐมนตรีหรือรัฐมนตรีแล้ว ก็ควรจะทำเพื่อประชาชน 63 ล้านคน ตามที่ได้รับฟังพระบรมราโชวาทจากพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ตอนที่เข้าร่วมถวายสัตย์ปฏิญาณทั้งหมดที่ผู้เขียนร่ายยาวเป็นเพียง “หนังแผ่น” ที่ต้องการนำเสนอรัฐบาลหนังแผ่นเรื่องนี้มิได้มีเจตนาอื่นใด นอกจากต้องการให้รัฐบาล “ได้ยินเสียง
ของประชาชน” บ้าง แทนที่จะได้ยินเฉพาะเสียงคนข้างตัวเท่านั้นฉะนั้นตัวละครอย่าอารมณ์เสีย!ท่านยังมีเวลา! …สายตาจากคน 63 ล้านคน มองความเคลื่อนไหวของรัฐบาลอย่างใจจดใจจ่อว่ากันว่า บ้านเมืองวุ่นวาย และเสื่อมลง ก็เพราะคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบในบ้านเมืองไม่ได้ทำหน้าที่ของตนอย่างเต็มกำลังความสามารถบ้านเมืองไทยอย่าให้เป็นอย่างนั้นเลย..