บทความโดย...ลูกชาวนาไทย
ผมได้มีโอกาสไปร่วมงานคอนเสิร์ตของคนเสื้อแดงที่โบนันซ่า เขาใหญ่ ที่อำเภอปากช่อง โดยออกเดินทางตั้งแต่วันศุกร์ที่ 13 พศจิกายนครับ โดยไปกันก่อนล่วงหน้าสามคนคือ ผม คุณแมวอ้วนอ้วน และคุณแป๊ก 2007 เพื่อไปจับจองที่กางเต้นท์ เนื่องจาก เพื่อนๆ ของคุณ ICE ANGEL ผบ.ทบ. ของคุณแมวอ้วนอ้วน ที่เป็นพนักงานการบินไทย "รักคุณเท่าฟ้า" ประมาณสิบกว่าชีวิตจะตามไปในวันที่ 14 พ.ย. ก็เลยต้องส่งหน่วยลาดตระเวณ ที่ชำนาญป่าอย่างพวกผมไปก่อน
ครั้งแรก ผมไม่ได้มีความสนใจในการไปฟังดนตรีเท่าใดนัก (เพราะไม่ค่อยมีดนตรีการในดวงใจมากมายนัก แต่ก็ไม่ใช่คนชอบกลแต่อย่างใด) แต่เพื่อนๆ เขาให้เหตุผลว่า ไปกางเต้นท์ แค้มปิ้ง คุยกัน กลางแจ้ง นั่นเป็นสิ่งที่ผมชอบอยู่แล้ว เพราะผมชอบใช้ชีวิตแบบกลางแจ้ง Out Door มากกว่าไปเที่ยวนอนตามโรงแรม หรือรีสอร์ท หรือไปฟังคอนเสิร์ตอะไรอย่างนี้ แต่การไปกางเต้นท์ เพื่อคุยกันเรื่องการเมือง วิพาร์กกับเพื่อนๆ คอเดียวกัน เป็นสิ่งที่ผมชอบเป็นยิ่งนัก ยิ่งถ้าอากาศกำลังเย็นสบาย ก็เป็นสิ่งที่ดีเลิศเลยทีเดียว
ออกเดินทางตั้งแต่บ่ายโมงนะครับ ผมชอบขับไปตาม GPS ที่ตั้งพิกัดไว้ที่สนามกอล์ฟโบนันซ่า แต่พอไปถึงทางเข้า ก็มีป้ายชี้ทางบอกทางไปคอนเสิร์ตสามเกลอตลอด ไปถึงเป็นทางเข้าแคบๆ ที่ต้องขับรถเข้าไปอีกไม่ต่ำกว่า 5 กม. เข้าไปในบริเวณหุบเขา ที่มีภูเขาล้อมรอบทั้งสี่ด้าน เป็นชัยภูมิปิด พื้นที่ในหุบเขานี้ ผมคำนวณด้วย Google Earth ได้ไม่ต่ำกว่า 137,800 ตารางเมตร หรือประมาณ 86 ไร่ เป็นพื้นทื่ มีทางเข้าออกแค่สองทางเท่านั้น ทางที่ให้เข้า เป็นทางแคบๆ ดังนั้น คนที่เขาไป ไม่มีทางอื่นจะหลบเข้าไปได้ ต้องผ่านด่านตรวจทางเดียว และต้องลงไปซื้อบัตรเข้าชมคอนเสิร์ตราคา 300 บาท เพื่อผ่านด่านเข้าไป ทางออกก็เป็นอีกด้านหนึ่งของหุบเขา เป็นทางเดียวเช่นกัน เขาจัดการจราจรให้เข้าทางหนึ่ง ออกอีกทางหนึ่ง หากจะเข้าทางด้านอื่นต้องปีนเขาเข้าไป ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย ชัยภูมิแบบนี้ผมชอบมากเลยทีเดียว เคยไปเที่ยวที่ Lake District ในอังกฤษ ก็เจอชัยภูมิแบบนี้ แต่ที่นั้นมีหมอกลง มีบ้านอยู่ท้ายหุบเขา มีทางเข้าแค่ทางเดียว เป็นชัยภูมิที่ สวยงามมากทีเดียว
คีนวันที่ 13 พ.ย. ก็มีคนไปจำนวนมากแล้วครับ เจอเพื่อนๆ ที่เว็บ www.khonthaiuk.com และน้องๆ ที่เป็นกลุ่ม พยาบาล FARED ไปล่วงหน้าด้วยเช่นกัน พวกผมเลือกชัยภูมิกางเต้น ห่างจากเวที 321 เมตร (วัดจากกรูเกิลเอิร์ท ย่อมเป็นตัวเลขที่แน่นอน) ไกลพอสมควรครับ เพื่อจะได้คุยกันให้สะดวกหน่อย แต่ก็คิดผิด เพราะระบบเครื่องเสียงเขาดีมาก ดังตลอดทั้งหุบเขา ไม่มีที่เงียบๆ เลย มองจากบริเวณเต้นท์ของผมลงไปที่เวที เต้นท์พวกผมอยู่บนเนิน ก็เห็นอย่างชัดเจนครับ แม้จะไกล
ที่เขาใหญ่น้ำค้างแรงมาก ผมไปเที่ยวเขาใหญ่ บ่อยๆ รู้เรื่องนี้ดี ก็เลยเตรียม Fly Sheet สำหรับกางเป็นกระโจมด้านหน้าเต้นท์ เพื่อเอาไว้เป็นที่สังสรรค์ จะได้ไม่โดนน้ำค้าง แต่ก็สงสารกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ได้ชำนาญการใช้ชีวิตกลางแจ้งอย่างกลุ่มผม ส่วนใหญ่จะเอาเต้นท์ไปกันอย่างเดียว ไม่มีกระโจมคุยกันนอกเต้นท์ ทำให้ต้องตากน้ำค้าง คุยกัน บางเต้นท์ก็ใช้เต้นท์แบบโปร่งใส่ กันยุงได้อย่างเดียว แต่กันน้ำค้างไม่ได้ แต่ที่โบนันซ่า ไม่มียุง หรือแมลง เต้นท์แบบนี้ไม่น่าจะใช้การได้แต่อย่างใด กับการใช้ชีวิตกลางแจ้ง
กลางคืนวันที่ 13 พย. ก็มีการซ้อมการแสดงครับ มีการร้องเพลงกันทั้งคืน แค่วันแรก คนก็ไปหลายพันแล้วครับ ที่หน้าเวที มีคนไปกางเต้นท์จำนวนมาก ก็ร้องรำทำเพลงกันจนดึกครับ
ปัญหาเรื่องน้ำ ก็เป็นปัญหาใหญ่ครับ ตื่นมาแต่เช้าไม่มีน้ำ เพราะคนเยอะ เขาเอาน้ำมาส่งไม่ทัน และรถต่างๆ ก็จอดขวางทางเดินรถส่งน้ำ ทำให้ผมต้องขับรถออกไปเข้าห้องน้ำที่ปั้มปากทางเข้า ใกล้ๆ ปากช่อง ขับรถกลับเข้าไป อีกที ปรากฎว่ามีรถมาจำนวนมากแล้ว
วันที่สองซึ่งเป็นวันจัดคอนเสิร์ต แดดร้อนมาก แต่คนก็ทะยอยมากันเต็มหุบเขาครับ พื้นที่หน้าเวทีคอนสิร์ต ซึ่งมีประมาณ 86,393 ตร.ม. (54 ไร่) ที่เขาไม่ให้กางเต้นท์ คนแน่นตลอดครับ ผมคำนวณคน โดยใช้พื้นที่ คิดแค่ 1 คนต่อตารางเมตร ก็น่าจะมีคนไม่ต่ำกว่า 80,000-100,000 คน หรือ แต่คนยู่รอบๆ บริเวณเหนือขึ้นไปที่เขาให้กางเต้นท์ด้วย น่าจะได้ไม่ต่ำกว่า 100,000 คนครับ เห็น People Chanel เขาประกาศว่า ขายบัตรได้ประมาณ 50,000 ใบ แต่หลังจากประมาณหัวค่ำ เขาเปิดให้เข้าฟรี เพราะตรวจบัตรไม่ไหว เนื่องจากทำให้รถติดมาก เห็นมีคนบอกว่ารถติดประมาณ 15 กิโลเมตร ผมไม่สงสัยเลย เพราะทางเข้ามีทางเดียวแคบๆ และเมื่อรอซื้อบัตรเข้าชม รอตรวจบัตร ยิ่งทำให้รถติด คนจำนวนมากลงเดินมาตั้งแต่ประมาณ 5 กม. จากหุบเขาที่จัดงาน ทางกลุ่มสามเกลอ เขาเห็นว่า เก็บเงินค่าบัตรเข้าชมได้น่าจะเกินเป้าแล้ว เขาเลยปล่อยให้เข้าฟรี เพื่อคนจะได้เข้าไปได้
คอนเสิร์ตครั้งนี้ คนจนรากหญ้าคงไปได้ยากครับ เพราะค่าผ่านประตูก็ 300 บาทแล้ว ค่ากินค่าเดินทางต่างๆ และเต้นท์ต่างๆ ที่คนจนไม่น่าจะมี (เพราะไม่ใช่รสนิยมที่คนรากหญ้าจะซื้อเต้นท์ เป็นวัฒนธรรมของคนชั้นกลาง) รวมทั้งรถยนต์ รถ SUV ต่างๆ ที่ไปในงานคอนเสิร์ต ผมจึงสรุปแบบฟันธงได้เลยว่า คอนเสิร์ตครั้งนี้ เป็นบทพิสูจน์ได้อย่างดีเลยว่า "คนเสื้อแดงนั้นเป็นคนชั้นกลาง" จำนวนมาก อย่างน้อยงานคอนเสิร์ตครั้งนี้ก็ไม่ฟรี เขาเก็บเงิน มีคนเข้าชมกว่า 100,000 คน (ที่ติดอยุ่ข้างนอกเข้าไม่ได้มีคนบอกว่าเยอะ) ย่อมเป็นข้อพิสูจน์อย่างดี
ผมเองทราบตั้งนานแล้วว่า แดง Left Wing หรือปีกซ้าย ทั้งโซเชียลลิสต์ และ ลิเบอรัล นั้นมีจำนวนมาก คนชั้นกลางที่สนับสนุนอำมาตยาธิปไตย นั้นมีแต่พวกคนชั้นกลาง Conservative เท่านั้นครับ อุดมการณ์ทางการเมือง ของคนชั้นกลางไม่ได้มีแต่ "หัวอนุรักษ์นิยม" เท่านั้น แต่เป็นพวก เสรีนิยม พวกสังคมนิยม ก็มีจำนวนมากเช่นกัน การ "ตู่เอาง่ายๆ " แบบ พธม. ชอบพูดว่า ม็อบ พธม. มีแต่คนมีการศึกษา นั้นผิด เพราะที่จริงคน ที่สนับสนุน พธม. นั้น เป็นพวกคนชั้นกลาง "หัวอนุรักษ์นิยม" ต่างหาก ไม่ใช่คนชั้นกลางทั้งหมด
คนเสื้อแดงแท้ที่จริงแล้วประกอบด้วยคนสองกลุ่มคือ คนชั้นกลางเสรีนิยม+สังคมนิยม และคนรากหญ้า (สู้เพื่อปากท้อง) คนชั้นกลางนั้น เนื่องจากเรื่องปากท้องนั้น สามารถช่วยเหลือตัวเองได้แล้ว การต่อสู้ทางการเมือง มักจะเป็นในด้านอุดมการณ์มากกว่า คนชั้นกลางหัวก้าวหน้า (เสรีนิยม โซเชียลลิสต์) จะต่อต้าน "ลัทธิอำมาตยาธิปไตยศักดินา สนับสนุนประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ต่อต้านระบบสองมาตรฐาน และความไม่เป็นธรรมต่างๆ
ผมได้คุยกับพี่คนหนึ่ง ที่บอกตัวชัดเจนว่าเป็นโซเชียลลิสต์ ผมตั้งคำถามกันว่า "เกิดเหตุการณ์แดงเต็มหุบเขา" ที่โบนันซ่านี่ได้อย่างไร ใครทำให้เกิดเหตุการณ์เช่นนี้ขึ้นมาได้ในการเมืองไทย" คนต้องเดินทางด้วยรถยนต์กว่า เกือบ 200 กม. จากเมืองหลวง มาร่วมกิจกรรมการเมือง ในหุบเขากลางป่าใหญ่ กว่า 100,000 คน ใครจุดไฟสงครามทางการเมืองนี้ขึ้นมา
ผมได้ข้อสรุปกันว่า การต่อสู้ทางการเมือง เพื่อประชาธิปไตยนั้น เริ่มกันมาตั้งแต่ 14 ตุลาคม 2516 แล้ว แต่การขยายตัวนั้นเป็นแบบช้าๆ ไม่ได้ด่วนเกิดขึ้น สังคมใช้เวลาพัฒนาการ มาถึงวันนี้ อุดมการณ์ประชาธิปไตยที่เริ่มขึ้นตั้งแต่ยุคนั้น ค่อยๆ ขยายตัวขึ้น และถูกจุดประกายในรัฐประหาร 2549 จนตอนนี้ขยายตัวออกไปอย่างมโหราฬเต็มประเทศแล้ว
เมื่อเรามองอย่างวิวัฒนาการ อย่างที่ผมอ่านหนังสือ The Eve of French Revolution การเกิดการปฎิวัติใหญ่ของฝรั่งเศส นั้นไม่ได้เกิดขึ้นแบบปุบปับ ในปี 1789 แต่สังคมมีความขัดแย้งกันก่อนหน้านั้นไม่ต่ำกว่า 30-40 ปี ความไม่เท่าเทียมกัน อภิสิทธิ์ชน Palace Circle ของพระเจ้าหลุยส์ที่ 16 ที่มีแต่เครือข่ายของคนชั้นสูงรวบอำนาจ สร้างความไม่เป็นธรรม ระบบทหารที่มีแต่เส้นสาย ระบบยุติธรรมที่เหลวแหลก และสังคมเริ่มเข้าสู่ยุคอุตสาหกรรม ต่างก็เป็น "ชนวน" อย่างสำคัญทำให้เกิดการปฎิวัติใหญ่ฝรั่งเศสทั้งสิ้น
ประเทศไทย กำลังเดินเข้าไปสู่จุดนั้น จุดสิ้นสุดของระบอบอำมาตยาธิปไตย แบบปี 1789 ของฝรั่งเศส
ไม่มีอะไรหยุดยั้ง พัฒนาการของสังคมได้ รัฐประหารปี 2549 จุดชนวนมันขึ้นมาเอง
ไฟตาสว่างที่ลามทุ่งเช่นนี้ ไม่มีอำนาจใดที่จะดับมันไปได้ เรากำลังอยู่ในช่วงท้ายๆ ของ
The Eve of Thai Revolution
เมื่อถึง "วันโกน" แล้ว อย่างไร ก็ต้องถึง "วันพระ" วันยังค่ำ