ที่มา บางกอกทูเดย์
“สถานการณ์วิกฤติสังคม การเมืองเป็นปัจจัยทำให้ยาเสพติดขยายตัวกว้างขวางมากขึ้น”ฟังคำแถลงของ รองนายกฯ สุเทพ เทือกสุบรรณระหว่างเป็นประธานเปิดปฏิบัติการประเทศไทยเข้มแข็งชนะยาเสพติดยั่งยืน ภายใต้ยุทธศาสตร์5 รั้วป้องกัน ระยะที่ 2อดคิดไม่ได้ว่าหากเป็นเช่นนั้นจริงสถานการณ์การแพร่ระบาดของยาเสพติดในไทย คงไม่มีทีท่าจะลดลง เฉกเช่นเดียวกับความขัดแย้งทางการเมือง ที่นับวันจะเพิ่มขึ้นทุกวันแถมความขัดแย้งไม่ได้อยู่แค่ภายในประเทศ
แต่ได้ ขยายไปยังประเทศเพื่อนบ้าน อย่างกรณีไทยกับกัมพูชาหากดูข้อมูลที่สามารถจับกุมเฉพาะในช่วงที่เกิดเหตุการณ์ความขัดแย้งระหว่างไทยกัมพูชานั้น พบว่า มีการจับกุมยาเสพติดรายใหญ่ได้ 1 ราย ที่สามารถยึดยาเสพติดเครือข่ายเหว่ยเซียะกัง ได้ถึง 2 แสนบาทมูลกว่า 200 ล้านบาท โดยทหารจากกองกำลังผาเมือง จ.เชียงรายทหารรายหนึ่ง เปิดเผยว่า ยาบ้าล็อตนี้เป็นส่วนหนึ่งของยาบ้าจำนวน6 ล้านเม็ด ที่กลุ่มว้า ได้ผลิตขึ้นมาเตรียมรอส่งเข้ามาขายใน
ประเทศไทยผ่านช่องทาง จ.เชียงราย ในช่วงท้ายปี 52 นี้ทำให้กลุ่มขบวนการเริ่มเข้ามาเคลื่อนไหวลำเลียงยาบ้า ยาไอซ์ ที่ถูกสต็อกไว้มากไปเร่งส่งขายนายทุนตามภาคต่างๆ ของไทยส่วนผู้ค้ารายย่อยระดับ 10,000 เม็ดยังสามารถจับกุมได้เป็นระยะ โดยส่วนใหญ่มีเป้าหมายจะนำมาจำหน่ายในพื้นที่กรุงเทพมหานครขณะที่ พล.ต.ท.กฤษณะ ผลอนันต์เลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) กล่าวว่า สาเหตุที่มีการผลิตยาเสพติดกันมากเพราะ
ชนกลุ่มน้อยในประเทศเพื่อนบ้านต้องการสะสมอาวุธเพื่อใช้ในการต่อสู้ ทำให้ปีที่ผ่านมาประเทศไทยสามารถตรวจยึดยาบ้าได้กว่า 20 ล้านเม็ด แต่กลุ่มที่ทำการผลิตก็ยังมีขีดความสามารถในการผลิตเพิ่มขึ้นอีกเป็น 10 เท่าหรือมากกว่า100 ล้านเม็ด โดยการลักลอบนำเข้ายังคงเป็นชายแดนด้านภาคเหนือถึง80% ของทั้งหมดดังนั้น ทาง ป.ป.ส.จึงได้เร่งปฏิบัติการเชิงรุกเพื่อป้องกันตามโครงการรั้วชายแดนของรัฐบาล โดยร่วมมือกับทุกฝ่ายรวมทั้งประสานกับทางการพม่า
โดยเฉพาะด้านการข่าว เพื่อร่วมกันแก้ไขปัญหาซึ่งที่ผ่านมาถือว่าน่าพึงพอใจเพราะประเทศพม่าเองก็สามารถตรวจยึดยาบ้าได้กว่า 10 ล้านเม็ดในปีที่ผ่านมาด้วยขณะที่รัฐบาลต้องการลดปัญหายาเสพติดให้ได้ โดยกำหนดกลไกในเชิงรุกให้จังหวัดและอำเภอ ร่วมกับกองอำนวยการรักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.)ดำเนินการเน้น 3 พื้นที่ หลักคือ พื้นที่ภาคเหนือตอนบน กทม.ปริมณฑล และพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้นายชาติชาย สุทธิกลม ที่ปรึกษาคณะกรรมการ
ป้องกันและปราบปรามยาเสพติด (ป.ป.ส.) กล่าวถึงความคืบหน้าการดำเนินการปราบปรามยาเสพติดตามนโยบายรัฐบาล 5 รั้วล้อมไทยห่างไกลยาเสพติด ว่า สำนักงานป.ป.ส.กำลังเร่งดำเนินการปราบปรามยาเสพติดอย่างต่อเนื่อง เพื่อดึงผู้เสพเข้ารับการบำบัดรักษา โดยได้กำหนดระยะเวลาดำเนินการไว้ 6 เดือนในขณะนี้สามารถแยกผู้เสพออกจากวงจรการซื้อขายยาเสพติด และส่งตัวเข้ารับการบำบัดรักษาได้แล้วไม่ตํ่ากว่า 50,000 ราย และคาดว่าเมื่อดำเนินการครบ 6
เดือน จะมีผู้เสพถูกส่งตัวเข้ารับการรักษาไม่ตํ่ากว่า120,000 ราย ซึ่งถือว่าเป็นการตัดวงจรเครือข่ายยาเสพติดลงไปได้มากนายชาติชาย กล่าวด้วยว่า สถานการณ์การแพร่ระบาดยาเสพติดปัจจุบันพบมากที่สุดคือ ยาบ้า รองลงมาคือ ยาไอซ์ ซึ่งเป็นที่นิยมในหมู่นักท่องเที่ยวตามสถานบันเทิงต่างๆ แม้จะเป็นยาเสพติดที่มีราคาแพงก็ตาม เดิมยาไอซ์มีการลักลอบนำเข้ามาจากเกาะฮ่องกง ประเทศจีน“แต่ปัจจุบันพบว่าชนกลุ่มน้อยในประเทศพม่าเริ่มผลิตและจำหน่ายยา
ไอซ์แทนยาบ้า โดยขายส่งราคากิโลกรัมละ 1 ล้านบาท หากนำเข้ามาจำหน่ายในประเทศจะได้ราคาสูงขึ้นอีก 3 เท่า”นอกจากนี้ในช่วงที่ผ่านมาหลังรองนายกฯ สุเทพ ควง ผบ.ทบ.และ รอง ผบ.ทบ.ลงพื้นที่เชียงราย และแถลงข่าวจับกุมยาบ้าล็อตใหญ่จำนวน 500,000 เม็ดรองนายกฯ ด้านความมั่นคง ได้สั่งการให้เจ้าหน้าที่นำกฎหมายพิเศษอย่างกฎอัยการศึกและกฎหมายความมั่นคงในการตรวจยึดและจับกุมสารเสพติดโดยเชื่อว่ากฎหมายพิเศษเหล่านี้จะสามารถตัด
ตอนขบวนการค้ายาบ้าที่กำลังทะลักเข้าไทยอีกกว่า 100 ล้านเม็ดในช่วงก่อนถึงปลายปีในขณะที่สถานการณ์ทางการเมืองของไทยอยู่ในภาวะวิกฤติเช่นนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจ-ทหารตามแนวชายแดน นอกจากต้องทำงานหนักในด้านการปราบปรามแล้ว บางครั้งอาจต้องรับออร์เดอร์จาก “นาย” ให้จับกุมยาบ้าล็อตใหญ่เพื่อกลบกระแสการเมืองก็เป็นได้การเมืองยิ่งร้อนเท่าไหร่ ยาเสพติดยิ่งระบาดหนัก