WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Thursday, November 19, 2009

ศก.ฟื้นตัวแบบไหน

ที่มา มติชน

คอลัมน์ สถานีคิดเลขที่12

โดย ทวี มีเงิน



โค้งสุดท้ายของทุกๆ ปี โหรเศรษฐกิจจะออกมาทำนายทายทัก เศรษฐกิจปีหน้ากันสนุกสนาน ถูกบ้างผิดบ้างส่วนใหญ่จะผิดแต่คนไม่ค่อยจำ จนกลายเป็นประเพณีทุกปี ชาวบ้านยันนักธุรกิจต่างก็ต้องเงี่ยหูฟัง ด้วยความลุ้นระทึก

เท่าที่ฟังๆ เสียงยังแตก บางสำนักก็บอกว่าฟื้นตัวแบบรูปตัว U คือ เศรษฐกิจตกถึงจุดต่ำสุดต้องใช้เวลาพอสมควรจึงค่อยๆ ผงกหัวขึ้น ส่วนพวกที่มองโลกในแง่ดีก็บอกว่าน่าจะเป็นตัว V คือเศรษฐกิจตกลงมาถึงจุดต่ำสุดแล้วก็ปรับตัวสูงขึ้นทันที

โดยส่วนตัว รอยหยักในสมองที่มีอยู่คงไม่พอที่จะทำตัวเป็นโหรเศรษฐกิจฟันธงเหมือนบรรดา "กูรู" และ "กูรู้" ทั้งหลาย แต่จะขอตั้งข้อสังเกตว่า เศรษฐกิจไทยจะฟื้นนั้น มี 2 นัยยะ

นัยยะแรก อาศัยเนื้อนาบุญเศรษฐกิจโลกช่วยฉุด วิกฤตเศรษฐกิจโลกรอบนี้ รัฐบาลประเทศต่างๆ ทั่วโลกเฉพาะอย่างยิ่งประเทศมหาอำนาจต้องถมเงินเข้าไปอัดฉีดระบบเศรษฐกิจกระตุ้นเศรษฐกิจมหาศาล ฉะนั้น เศรษฐกิจโลกฟื้น ฉุดให้เราฟื้นด้วย

นัยยะที่สอง ฟื้นด้วยนโยบาย ยุทธศาสตร์ของรัฐบาล ปรับโครงสร้างและปรับปรุงคุณภาพการผลิต ลดต้นทุน ปรับสัดส่วนตลาดส่งออกเสียใหม่ ที่เคยพึ่งพาตลาดเก่าๆ อย่างสหรัฐอเมริกา สหภาพยุโรป และญี่ปุ่น ก็ลดสัดส่วนลง ไปเพิ่มในตลาดใหม่ๆ ที่มีอนาคตอย่างจีน อินเดีย ตะวันออกกลาง อาเซียน

การฟื้นตัวโดยอิงเศรษฐกิจโลก ฟื้นตัวแบบชั่วคราว เดี๋ยวขึ้นเดี๋ยวลงตามวัฐจักร แบบ "W" ไม่ยั่งยืนเท่าการทำตัวเองให้เข้มแข็งอย่างนัยยะที่สอง

ในห้วง 10 ปีกว่าที่ผ่านมาหลังฟองสบู่แตกไม่เคยมีรัฐบาลไหน มียุทธศาสตร์ทำให้เศรษฐกิจไทยโตแบบยั่งยืนจริงๆ แม้กระทั่งยุครัฐบาลทักษิณ ที่คุยโม้โอ้อวดว่าเก่งกาจ ลองไปดูตัวเลขจีดีพียุคไทยรักไทยเป็นรัฐบาลเฉลี่ย ราวร้อยละ 5.5 เท่าอินโดฯ ฟิลิปปินส์ มาเลเซีย แต่อดีตนายกฯทักษิณเก่งในเรื่องการตลาดการเมือง ทำให้นักลงทุนเกิดความเชื่อมั่น

อย่างไรก็ตาม ตลอด 10 เดือนที่ผ่านมา "นายกฯอภิสิทธิ์" ไม่เคยมียุทธศาสตร์เศรษฐกิจเป็นชิ้นเป็นอัน เศรษฐกิจของประเทศถูกขับเคลื่อนด้วยระบบราชการ ทำให้เครื่องจักรสำคัญอย่างภาคส่งออกและท่องเที่ยว ที่เป็นตัวหลักในการหารายได้เข้าประเทศ กลายเป็นหัวจักรชำรุด ไม่ทำงาน

จนป่านนี้ การท่องเที่ยวฯยังหาหัวไม่ได้ ไม่มีผู้ว่าการมาหลายเดือน จะว่าไปแล้วแต่ไหนแต่ไรมา ธุรกิจท่องเที่ยวของไทยโตตามยถากรรม ไม่ได้เติบโตจากการบริหารจัดการของรัฐบาล หรือ ททท.ปีไหนเศรฐกิจโลกดีก็มีนักท่องเที่ยวเข้ามาเที่ยวกันมาก ททท.คิดเป็นแค่สีสันมาร์เก็ตติ้ง หาช่องทางใช้งบประมาณแบบเบี้ยหัวแตก กลายเป็นขุมทรัพย์ของนักการเมือง ของผู้บริหารบางคนที่มีเอี่ยวกับธุรกิจบันเทิงรายใหญ่ เอเยนซี่โฆษณา บริษัทจัดอีเวนท์ ที่พยายามปั้นโครงการมาเสนอแบบไม่เป็นชิ้นเป็นอัน ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ

ด้านส่งออก ถือเป็นรายได้หลัก 70% ของรายได้ของประเทศมาจากส่งออก ที่ผ่านมาโดนลอยแพทุกรัฐบาล ยิ่งรัฐบาลนี้ยิ่งไม่มียุทธศาสตร์ ว่าจะเอาอย่างไร จะไปทางไหน ไร้ทิศทาง ผู้ส่งออก เคยเรียกร้องให้แบงก์ชาติเข้ามาดูแลให้ "ค่าเงินบาทอ่อน" ลงเพื่อจะแข่งขันในตลาดโลกได้ แต่แบงก์ชาติยืนกอดตำรา สวมแว่นตาเหมือนม้าลำปาง ยืนยันค่าเงินบาทยังสมดุล เพิ่งจะตื่นจากภวังค์ยอมรับว่าค่าบาทแข็งไปไม่กี่วันนี้เอง ทั้งๆ ที่บางประเทศอย่างเกาหลีใต้ประสบความสำเร็จพ้นจากวิกฤตได้เพราะ "เงินวอนอ่อนค่า" สินค้าเกาหลีราคาแข่งขันได้

น่าเสียดายที่ "นายกฯอภิสิทธิ์" ไม่เคยลงมาดูแล มัวแต่ยุ่งอยู่กับเสื้อเหลือง-เสื้อแดง เสียเวลากับเรื่องตำรวจ "กอร์ปศักดิ์" ก็มัวทะเลาะกับ "พรทิวา" จะขายหรือไม่ขายมันสำปะหลัง "กรณ์" ก็มั่วอยู่กับหนี้นอกระบบ รัฐบาลมัวแต่สนใจเรื่องเล็กๆ แต่มองข้ามภาพใหญ่ของประเทศ

ครั้นจะหวังโครงการไทยเข้มแข็งฟื้นเศรษฐกิจยิ่งหวังมากไม่ได้ เม็ดเงิน 1.4 ล้านล้านบาท เฉลี่ยปีละ 3 แสนกว่าล้านเท่านั้น หักค่าคอร์รัปชั่น 40% กำไรเอกชน 30% เงินที่จะไปลงทุนจริงๆ 30% แทบไม่มีความหมาย ไม่มีน้ำยาจะฉุดเศรษฐกิจฟื้นขึ้นมาได้

หากเศรษฐกิจที่จะฟื้นรอบนี้ก็ฟื้นตามแรงฉุดเศรษฐกิจโลก ฉะนั้น อย่าเพลินต้องตั้งรับขาลงให้ดี