WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, November 17, 2009

'อภิสิทธิ์' กับภาวะผู้นำที่ล้มเหลว

ที่มา Thai E-News


โดย คุณสุรชัย ปากช่อง
ที่มา เวบไซต์ โลกวันนี้
17 พฤศจิกายน 2552

เมื่อวันที่ 23 มกราคม 2552 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีพรรคฝ่ายค้าน ใช้วิธีตรวจสอบองค์ประชุมของ ส.ส. ในแต่ละพรรค ซึ่งทำให้สภาผู้แทนราษฎรไม่สามารถดำเนินการประชุมได้แล้วหลายครั้งว่า สิทธิของฝ่ายค้านในกรณีที่เสนอนับองค์ประชุมสภา จนทำให้สภาล่ม แต่คาดว่า จะไม่มีเหตุการณ์สภาล่มเกิดขึ้นอีก โดยตนเองจะประชุมหารือ และทำความเข้าใจกับสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ รวมถึงพรรคร่วมรัฐบาล ซึ่งเชื่อว่า จะไม่มีเหตุการณ์สภาล่มเกิดขึ้นอีก

ผ่านมาถึงเดือนพฤศจิกายน 2552 ปรากฏว่า ยังเกิดเหตุการณ์สภาล่ม เพราะสมาชิกไม่ครบองค์ประชุม อย่างน้อยถึง 9 ครั้งแล้ว ซึ่งส่วนหนึ่งก็สะท้อนว่า คำพูดของนายอภิสิทธิ์ ที่เป็นทั้งนายกรัฐมนตรีที่มีพรรคร่วมรัฐบาลที่มีเสียงข้างมาก และยังเป็นหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ด้วยนั้น มีความเชื่อถือได้มากน้อยแค่ไหน

ที่สำคัญกว่านั้นคือ ยังสะท้อนถึงอำนาจและบารมี ความเป็นผู้นำของนายอภิสิทธิ์ ซึ่งถูกวิพากษ์วิจารณ์มาอย่างต่อเนื่อง นับตั้งแต่ขึ้นมาเป็นนายกรัฐมนตรีว่า มีอำนาจ แต่ไม่สามารถใช้อำนาจได้ ไม่ว่าจะเป็นในพรรคประชาธิปัตย์ หรือรัฐบาล

แม้แต่ภาวะความเป็นผู้นำระดับประเทศ ที่นายอภิสิทธิ์พยายามแสดงความแข็งกร้าวกับกัมพูชา ขณะนี้ ก็มีหลายฝ่ายมองว่า ไม่เหมาะสม แม้จะมีอีกหลายฝ่ายที่สนับสนุน แต่หากมองให้รอบคอบ ก็จะเห็นได้ว่า ไม่เพียงนายอภิสิทธิ์จะตกเป็นเบี้ยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และสมเด็จฮุน เซน ในทางการเมืองในประเทศ ยังตกเป็นเบี้ยของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มเกลียดทักษิณไปโดยปริยาย

โดยเฉพาะความผิดพลาดอย่างใหญ่หลวง ที่เชื่อนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ให้ใช้วิธีรุกตอบโต้ผู้นำกัมพูชา ซึ่งไม่ต่างกับมวยวัด สอดคล้องกับการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ที่พยายามใช้กระแสชาตินิยม จนถึงกระแสคลั่งชาติ มาเป็นเครื่องมือทางการเมือง โดยไม่สนใจว่า จะมีผลกระทบกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และเศรษฐกิจในระยะยาวอย่างไร
อย่างที่นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในฐานะเลขาธิการพรรคการเมืองใหม่ ออกมาสนับสนุนการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ด้วยการใช้วาทกรรมทางการเมืองตามแนวถนัดของพันธมิตรฯว่า กระแสคลั่งชาติดีกว่าการทรยศชาติ

ที่น่าวิตกคือ วันนี้คนไทยส่วนใหญ่ ได้รับรู้จากสื่อกระแสหลัก ที่ให้ข้อมูลไม่ครบถ้วน หรือไม่ตรงกับความจริง ซึ่งเห็นได้ชัดเจนจากรายการต่างๆ ของสื่อรัฐ และการพาดหัวในทำนองยุยง ของสื่อสิ่งพิมพ์ที่เลือกข้าง

แม้แต่นายอภิสิทธิ์ ก็ใช้วิธีให้สัมภาษณ์ในลักษณะ “ตีหัวเข้าบ้าน” ใช้สำนวนโวหารเรียบ แต่จะ “แดกดัน” ทุกครั้งที่เป็นปัญหาที่มากระทบ เช่นเดียวกับกรณีกับกัมพูชา

โดยเฉพาะนายกษิต ที่เคยประณามผู้นำกัมพูชาว่า “กุ๊ย” จนทำให้ผู้นำกัมพูชา ปฏิเสธที่จะพบหรือหารือใดๆ กับนายกษิต ทางไทยจึงต้องส่งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกรัฐมนตรีฝ่ายความมั่นคง ไปกัมพูชาแทน ซึ่งสอดคล้องกับรายงานข่าวว่า สภาความมั่นคงแห่งชาติระบุว่า ต้นเหตุของความตึงเครียดระหว่างไทยกับกัมพูชา ส่วนหนึ่งมาจากคำพูดของนายกษิตนั่นเอง

เช่นเดียวกับกรณีพิพาทล่าสุด ที่นายกษิตออกมาแถลง หรือให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าว เป็นไปในลักษณะก้าวร้าวและแดกดันเกือบตลอดเวลา

ปัญหาระหว่างไทยกับกัมพูชา จึงยากที่จะจบลงด้วยดีในเร็ววันนี้ เพราะทั้งสองฝ่าย ต่างก็ใช้การตอบโต้กันทุกทาง โดยเฉพาะฝ่ายไทยที่รัฐบาลและภาคประชาชน กำลังปลุกกระแสชาตินิยมและคลั่งชาติ จนทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่า มีความเป็นไปได้สูง ที่อาจเกิดสงคราม แม้ทางไทยจะออกมาย้ำว่า จะไม่ให้กระทบต่อประชาชนและนักลงทุนก็ตาม แต่ทางในปฏิบัตินั้นคงเป็นไปได้ยาก

เพราะปัญหานี้ ได้ถูกลากไปเป็นส่วนหนึ่งของผลประโยชน์ทางการเมืองแล้ว ไม่ว่าจะตั้งใจหรือไม่ก็ตาม และปัญหาจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง ซึ่งไม่ใช่ฝ่ายกัมพูชาแน่นอน แต่จะเป็นฝ่ายไทย ที่ปัญหาจะเป็นบูมเมอแรงกลับมาที่พรรคประชาธิปัตย์

เพราะนอกจากปัญหาเก่าที่เป็นยิ่งกว่าดินพอกหางหมูแล้ว ยังสร้างปัญหาใหม่เข้ามาอีกนับไม่ถ้วน

ซึ่งนายอภิสิทธิ์ ในฐานะผู้นำต้องรับไปเต็มๆ