บานปลายมากขึ้นทุกทีสำหรับความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างประเทศไทย และประเทศกัมพูชาถึงวันนี้ หมดเวลาที่จะมาเถียงกันแล้วว่า ใครผิด ใครถูก ใครทำเหมาะสมไม่เหมาะสม??เพราะหากคำนึงถึงผลประโยชน์โดยรวมของประเทศชาติ จะต้องเป็นเวลาที่หาทางแก้ไขปัญหาโดยรีบด่วนการแก้ปัญหาไม่ได้
หมายความว่า ไทยจะต้องกลัวเกรงกัมพูชา รวมทั้งไม่ได้หมายความว่าประเทศไทยจะต้องเสียศักดิ์ศรีในทางพุทธศาสนา ตลอดจนโดยวัฒนธรรมประเพณีอันงดงามของสังคมไทย “การให้” นั้นจะทำให้ผู้ที่เป็นฝ่ายให้ จะสง่าและดูดีมากกว่าผู้ที่เป็นฝ่ายรับเสมอการให้จะช่วยให้ผู้ให้มีจิตที่สงบและไตร่ตรองได้อย่างละเอียดรอบคอบมากขึ้นศักดิ์ศรีที่ได้มาจากการเป็นฝ่ายให้ ดีกว่าการจะไปกล่าวอ้างทวงศักดิ์ศรีมากมายนักดังนั้นในเมื่อนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายก
รัฐมนตรี ยืนยันแล้วว่า ไม่ได้คิดที่จะปลุกความคลั่งชาติอย่างไร้สติ ก็ถือเป็นเรื่องที่ดี และทำให้เห็นว่าโอกาสที่จะรักษาความสัมพันธ์กับประเทศกัมพูชา ในฐานะมิตรประเทศเพื่อนบ้านยังไม่ถึงทางตันรศ.พิภพ อุดร แห่งคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ พูดชัดเจนว่า ศักดิ์ศรีเป็นเรื่องสมมุติ แต่เรื่องจริงๆ ที่ต้องคำนึงคือการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ ดังนั้น “บางกอก ทูเดย์” จึงไม่อยากให้รัฐบาล ไม่อยากให้นายอภิสิทธิ์ ไปยึดติดกับ
ศักดิ์ศรีสมมุติ จนทำให้การแก้ไขปัญหาผิดฝาผิดตัวมากขึ้นไปกว่านี้แน่นอนว่าคำยืนยันของบรรดานายทหารใหญ่ บรรดาผู้บัญชาการทั้งหลายที่บอกว่าไม่ห่วง และพร้อมที่จะปกป้องประเทศชาติและอธิปไตย เป็นสิ่งที่ทำให้สังคมไทยอุ่นใจและวางใจ หากในกรณีจำเป็นอย่างถึงที่สุดแล้วจะเกิดเรื่องราวขึ้นมาแต่นั่นก็ไม่ได้หมายความว่า จะเป็นเหตุให้รัฐบาล นายอภิสิทธิ์ และนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ซึ่งเป็น 1 ในตัวการสำคัญที่ทำให้ระดับความ
สัมพันธ์กับประเทศกัมพูชาไม่ราบรื่นอย่างที่ควรจะเป็นจะสามารถดำเนินการ หรือพูดอะไร โดยหมิ่นเหม่กับแนวทางความสัมพันธ์ทางการทูตตามหลักสากลประเทศหรือนานาอารยะประเทศประพฤติปฏิบัติได้เพราะต้องท่องเอาไว้ตลอดว่า เรื่องนี้ทั่วโลกจับตามอง และประเทศไทยไม่เพียงจะต้องคบหาสร้างสัมพันธ์กับประเทศต่างๆ แต่ไทยยังต้องการที่จะเป็นประเทศผู้นำในกลุ่มประเทศอาเซียนด้วยดังนั้นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เรื่องเกี่ยวกับหลักการ
ทางการทูต จะหลุดหรือใช้อารมณ์ไม่ได้เลย!!“มาร์ค” โปรดฟังอีกครั้ง....!!เรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ- เรื่องเกี่ยวกับหลักการทางการทูต จะหลุดหรือใช้อารมณ์ไม่ได้เลย!!ยิ่งหากว่ารัฐบาลเชื่อมั่นว่า มุมมองของสมเด็จฯ ฮุน เซน นายกรัฐมนตรีประเทศกัมพูชา และรัฐบาลกัมพูชา อยู่ในระหว่างที่มองต่างมุมกับรัฐบาลไทย ในกรณีการขอให้ส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศไทยในฐานะผู้ร้ายข้ามแดนยิ่งมองไม่ตรงกันยิ่งต้องละเอียดอ่อนและระมัด
ระวังให้มาก!!!สำหรับการเมืองในประเทศ นายอภิสิทธิ์ จะปล่อยให้บรรดาองครักษ์พิทักษ์รัฐบาล กล่าววาจาแขวะ ท้าทาย เสียดสี เย้ยหยันอย่างไรก็ได้ เพราะอย่างน้อยก็เป็นเรื่องภายในประเทศด้วยกันเอง หากจะเสียก็เสียภาพลักษณ์เสียคะแนนนิยมกันอยู่ในบ้านนี่แหละ ว่าประชาชนรับได้หรือไม่ หรือจะเป็นตัวอย่างประเภทไหนสำหรับเยาวชนไทยที่เป็นอนาคตของชาติ สุดท้ายถึงเวลาที่ประชาธิปไตยเต็มใบ มีการคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจด้วยการเลือกตั้งเกิดขึ้น
วันนั้นก็คงได้รับคำตอบเองว่า พฤติกรรมการเมืองประเภทนายกองร้องด่าท้าทายทั้งหลายนั้น สังคมรับได้หรือไม่ได้แต่สำหรับเรื่องระหว่างประเทศแล้วจะทำอะไรต้องละเอียดอ่อน และไตร่ตรองให้รอบคอบมากเป็นพิเศษการที่พูดราวกับสนุกว่า ผู้นำกัมพูชามีข้อมูลไม่เพียงพอ หรือไม่ได้พูดกันเพราะนั่งห่างกันแถมมีกระถางต้นไม้บัง ประเทศอื่นๆ ที่ได้รับฟังจะคิดเช่นใด นี่คือมารยาททางการทูตหรือ ในเมื่อสังคมไทยก็สอนตลอดมาว่า น้ำขุ่นไว้ใน น้ำใสไว้นอก ซึ่งสอดคล้อง
กับหลักทางการทูตไม่ว่าสถานการณ์จะตึงเครียดเพียงใด จะต้องยิ้มแย้มเข้าไว้ก่อน ดังนั้นการที่ นายปณิธาน วัฒนายากร รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง ในฐานะปฏิบัติหน้าที่โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ออกมายืนยันว่า นายกฯ อภิสิทธิ์ ในฐานะประธานอาเซียน ซึ่งมีกำหนดเข้าร่วมประชุม APEC CEO Summit 2009 ที่ประเทศสิงค์โปร์ ไม่มีความประสงค์ที่จะหารือกับ นายกรัฐมนตรีฮุน เซน ของกัมพูชา เป็นการส่วนตัว เพื่อแก้ไขปัญหาความขัดแย้ง
ระหว่างทั้งสองประเทศแต่อย่างใดนี่ต้องถือว่าการ์ดตกทางการทูต จะไม่พบหรือจะหลีกเลี่ยงที่จะไม่พบ ก็ไม่ควรที่จะต้องประกาศสงวนคม สงวนท่าทีไว้ดีกว่าในสถานการณ์แบบนี้ การไปประกาศก็กลายเป็นขึงพืดตัวเอง หากเกิดฟลุ๊กที่จะมีโอกาสพูดกันรู้เรื่องได้ เพราะมีประเทศอื่นช่วยไกล่เกลี่ย แต่ชิงไปประกาศขึงพืดเอาไว้ล่วงหน้า ก็เท่ากับปิดโอกาสแถมประเทศอื่นๆ เห็นการประกาศชัดแบบนี้ ใครจะกล้าเข้ามาช่วยไกล่เกลี่ยยิ่งสถานการณ์ตอนนี้บานปลายไปถึงขึ้นมี
การจับกุมตัวคนไทยที่ไปทำงานในกัมพูชาแล้วด้วย ซึ่งระบุข้อหาที่รุนแรงมาก โดยกล่าวหาว่า เป็นผู้ขโมยข้อมูลเรื่องตารางเวลาการบินเที่ยวบินพิเศษของอดีตนายกฯ ทักษิณ ก่อนนำข้อมูลดังกล่าวไปให้กับนายคำรบ ปาลวิวัฒน์วิชัย เลขานุการเอก ประจำสถานทูตไทยในทางการทูตยิ่งต้องระวังหนักมากขึ้นเป็น 2-3 เท่าแต่กลับปรากฏว่านายกษิต ยังคงเส้นคงวากับการพูดแบบไม่ระมัดระวังมารยาททางการทูต ให้สัมภาษณ์ดังไปทั่วโลก ว่าเป็นการใส่ร้าย... แบบนี้
ในทางการทูตจะมองหน้ากันติดได้อย่างไร??หากนายกษิตยังเป็นแค่นายกษิต ที่ขึ้นไปไฮปาร์คบนเวทีพันธมิตร หรือแม้แต่หากว่าเป็นแค่นักเลงเดินตามถนน จะพูดจาว่าใครเป็นกุ๊ย ว่าใครเป็นคนเกเร หรือจะบอกว่าการยึดสนามบินเป็นเรื่องสนุกอย่างไรก็ได้แต่วันนี้นายกษิตได้รับการแต่งตั้งจากนายอภิสิทธิ์ให้เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศแล้ว จะพูดจาตามความเคยชินเดิมๆ ไม่ได้แล้วอย่างน้อยที่สุดในเวลานี้ ต้องคำนึงถึงความปลอดภัยของนายศิวรักษ์
โชติพงษ์ วิศวกรบริษัท กัมพูชา แอร์ ทราฟฟิค เซอร์วิส หรือ CATS ที่ถูกจับกุมดำเนินคดีให้มากที่สุดแค่สถานการณ์ขณะนี้ ครอบครัวโชติพงษ์ก็ร้อนรนจนนั่งไม่ติดแล้ว ยิ่งนายอภิสิทธิ์บอกเพียงว่าก็จะดำเนินการช่วยเหลือตามปกติของคนไทยที่มีคดีในต่างประเทศ รวมทั้งนายกษิตเองก็ไม่สามารถทำหน้าที่รัฐมนตรีต่างประเทศกับประเทศกัมพูชาได้เต็มที่แบบนี้จะไม่ให้คนในครอบครัวโชติพงษ์เครียดหนักได้อย่างไร?? ดังนั้นในวันนี้ รัฐบาล และนายกฯ อภิสิทธิ์ รวมทั้งนา
ยกษิต จะต้องอดทนอดกลั้นให้มากที่สุด ยิ่งหากนายกษิตอ้างว่าเป็นแผนกระตุ้นจริงๆ ด้วยแล้ว ยิ่งต้องรอบคอบบทเรียนในการพูดเรื่อยเจื้อยก็มีมามากพอที่จะรู้แล้วว่า สร้างความเสียหายเพียงใด ยิ่งขณะนี้ไทยได้ลดระดับความสัมพันธ์กับกัมพูชา จนนำไปสู่การให้เอกอัคราชทูตไทยประจำประเทศกัมพูชาเดินทางกลับ รวมทั้งการตอบโต้ทางการทูตโดยการขับเลขานุการเอกของทั้งสองฝ่ายกลับประเทศ เท่ากับว่าขณะนี้ไทยไม่มีเอกอัครราชทูต ไม่เลขานุการเอกที่จะปฏิบัติ
หน้าที่ในกัมพูชาแล้ว การช่วยเหลือนายศิวรักษ์จึงยิ่งต้องรอบคอบรัฐบาลไทยต้องนึกถึงนายศิวรักษ์ และครอบครัวโชติพงษ์ให้มากๆ เข้าไว้แต่จะว่าไปทั้งหมดนายอภิสิทธิ์ และนายกษิต จะต้องทบทวนอาการบุ่มบ่ามของตนเองในเรื่องที่ทวงให้รัฐบาลกัมพูชาส่งตัว พ.ต.ท.ทักษิณให้โดยไม่สนใจสัญญาณจากทางกัมพูชาว่าคิดอย่างไร??เมื่อบุ่มบ่ามจนกลายเป็นเรื่องบานปลายเช่นนี้ย่อมปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้เพราะในความเป็นจริง ก็มีคำถามว่าหากกรณีพ.ต.ท.
ทักษิณไม่ใช่คดีการเมืองทำไมจึงเร่งร้อนขนาดนี้ เพราะในขณะเดียวกันคดีอื่นๆ ไม่เห็นรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ และนายกษิตเร่งร้อนเช่นนี้ไม่ต้องพูดถึงคดีนายราเกซ สักเสนา ที่เกี่ยวพันกับนักการเมืองกลุ่ม 16 จนเรื่องทอดหุ่ยมาเป็น 10 กว่าปี แค่กรณีของนายสมชาย คุณปลื้ม หรือกำนันเป๊าะ ซึ่งศาลฎีกามีคำพิพากษาจำคุกในคดีบุกรุกเขาไม้แก้ว ซึ่งขณะนี้นายสมชายก็หลบหนีไปอยู่ที่เกาะกงแต่ไม่เห็นนายกษิต หรือนายอภิสิทธิ์ ทำหนังสือด่วนไปขอให้ส่งตัวกลับไทย!!เช่น
เดียวกับกรณีศาลฎีกาแผนกคดีอาญาผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง มีคำวินิจฉัยว่า นายวัฒนา อัศวเหม มีความผิดทุจริตในคดีบ่อบำบัดน้ำเสียคลองด่าน และขณะนี้นายวัฒนาก็หลบหนีไปอยู่ที่เกาะกงซึ่งก็อีหรอบเดิม นายกษิต หรือนายอภิสิทธิ์ ก็ไม่ได้ทำหนังสือเร่งด่วนไปขอให้ส่งตัวกลับไทยด้วยเช่นกันแบบนี้หากไม่มองว่า 2 มาตรฐาน ก็หนีไม่พ้นว่าต้องมองเป็นกรณีคดีการเมืองนั่นแหละจึงไม่แปลกหากกัมพูชา จะเฉยๆ กับหนังสือของกระทรวงต่างประเทศ และตอบ
ปฏิเสธกลับมาเพราะจะว่าไปแล้วเรื่องนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาแล้ว ซึ่งหากนายอภิสิทธิ์ และนายกษิต หากว่าลืมเลือน จำไม่ได้ หรือไม่รู้ ก็สามารถที่จะสอบถามค้นหาข้อมูลได้นั่นคือกรณีนายซกเยือน ซึ่งหลบหนีคดีลอบสังหารสมเด็จฯ ฮุน เซน เมื่อประมาณ ปี 2543 ข้ามเข้ามาในฝั่งไทย ซึ่งทางรัฐบาลกัมพูชาก็ได้ทำหนังสือมาถึงรัฐบาลไทยในขณะนั้น คือรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ ที่มีนายชวน หลีกภัย เป็นนายกรัฐมนตรีอยู่ในตอนนั้น เพื่อขอให้รัฐบาลไทยส่งตัวนายซก
เยือนกลับกัมพูชาในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน ตามสนธิสัญญาแต่รัฐบาลไทยในขณะนั้นก็ปฏิเสธการส่งตัวนายซกเยือนให้....!!ซึ่งก็ถือเป็นสิทธิของรัฐบาลไทยที่จะพิจารณาว่าจะส่งตัวหรือไม่ส่งตัว และทางกัมพูชาก็ไม่ได้ต่อว่า ไม่ได้คิดว่ามุมมองของรัฐบาลไทยเป็นการแทรกแซงกระบวนการยุติธรรมของกัมพูชาแต่อย่างใดจึงไม่ได้มีการตอบโต้ใดๆ กับทางฝ่ายไทย ทำให้ไม่มีการลดระดับความสัมพันธ์เกิดขึ้นจากเหตุการณ์ครั้งนั้น เพราะกัมพูชายอมรับในการตัดสินใจของ
รัฐบาลไทยนั่นเองนี่คือข้อมูลความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่นายอภิสิทธิ์ และนายกษิต ควรจะต้องศึกษาและเรียนรู้ ซึ่งหากรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ทำเหมือนกับรัฐบาลกัมพูชาทำในตอนนั้น คือยอมรับในการตัดสินใจของประเทศเพื่อนบ้าน เรื่องในวันนี้ก็คงไม่บานปลาย จนทำให้ครอบครัวโชติพงษ์ต้องมารับเคราะห์ไปด้วยเช่นนี้อย่างไรก็ตาม ยังไม่สายเกินไปที่จะแก้ปัญหาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ขอเพียงแต่อย่าเอาวาระซ่อนเร้นมาเป็นตัวตั้งเท่านั้นเอง!!!
“บางกอกทูเดย์” ขอสรุปและติงเตือนว่า....ในฐานะที่ “วันนี้” อภิสทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศเป็นนายกรัฐมนตรี และ กษิต ภิรมย์ ก็ “ส้มหล่น” ได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศในฐานะตัวแทนพันธมิตรฯ ทั้งสองคนก็ต้องยิ่งระมัดระวังทั้ง “การกระทำ” และ “ปาก” ของตัวเองในมากกว่าที่เป็นอยู่
ต้องทำตัวเองให้พ้นจากข้อครหานินทาที่ว่า.... มาร์ค-กษิต คือคู่หูคู่ก่อเรื่อง! ที่ทำให้มิตรประเทศต่างหันหลังให้กับประเทศไทยกันอย่างพร้อมเพรียง!!