อ่านคำพิพากษาของศาล ที่สั่งจำคุก สนธิ ลิ้มทองกุล 3 ปี ไม่รอลงอาญาแล้ว ผมเริ่มพอมองเห็น แสงสว่างที่ปลายอุโมงค์ และพอจะเห็นแล้วว่าประเทศไทยจะหลุดพ้นวิกฤติไปได้อย่างไร
จะมากจะน้อย ก็อดคิดถึงพระบรมราโชวาท เมื่อวันที่ 17 ธันวาคม 2550 ซึ่ง นายวิรัช ลิ้มวิชัย ประธานศาลฎีกา ได้ออกหนังสือเวียนถึงผู้พิพากษา สำนักงานศาลยุติธรรมทุกคน ให้น้อมนำพระบรมราโชวาท พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระราชทานแก่ผู้พิพากษาประจำศาล สำนักงานศาลยุติธรรม จำนวน 128 คน ก่อนเข้ารับตำแหน่ง มาเป็นแนวทางปฏิบัติและการดำรงตนต่อไป
“บ้านเมืองจะต้องมีความยุติธรรม หมายความว่า คนจะปฏิบัติตัวตามใจชอบไม่ได้ ต้องทำตามกฎเกณฑ์หรือว่าของกฎหมายก็ได้ หรือต้องเป็นตามความดี กฎเกณฑ์ของความดี และความดีนั้นก็คืออะไรที่ตรงไปตรงมา ที่เป็นประโยชน์ต่อทุกคน ต่อประชาชน โดยเฉพาะคนที่มีสิทธิที่จะมีชีวิต ที่ต้องมีกฎเกณฑ์ ต้องมีขื่อมีแป ถ้าไม่มีขื่อมีแปแล้ว ประเทศชาติก็ต้องล่มจม อันนี้สำคัญ ที่ต้องมีผู้พิพากษาที่ต้องมีความเข้มแข็ง ความเข้มแข็งของผู้พิพากษาไม่ใช่ง่าย เพราะว่ามีคนที่ไม่ค่อยดี คือหมายความว่า ไม่ค่อยสุจริต ก็หาทางหลีกเลี่ยงกฎหมาย หลบเลี่ยงกฎเกณฑ์ หลบเลี่ยงความดี เพื่อความดีของตัว ฉะนั้น ท่านต้องรักษาความเข้มแข็งของคำปฏิญาณนี้
ถ้าพูดถึงง่ายๆ ก็ไม่ง่าย เพราะความดีนั้นเป็นสิ่งที่ง่าย แต่ว่าทำไมมันยาก เพราะมีอคติ หมายความว่าคนเราอยากที่จะทำอะไรเพื่อประโยชน์ส่วนตัวมาก แต่ท่านได้ปฏิญาณว่า ท่านจะไม่หลงใหลในอคติ ซึ่งเป็นของดีมาก ถ้าไม่หลงใหลในอคติก็ทำไม่ยาก ฉะนั้น ถ้าท่านรักษาสิ่งที่ท่านได้เปล่งวาจานี้ ก็จะทำได้ง่าย เพราะถ้าเราไม่หลงในอคติ ก็ไม่ยากที่จะทำดี ถ้าทำดีแล้ว ทุกคนก็ได้ประโยชน์ ในการรักษาความดีบางอย่างอาจจะไม่ง่าย เพราะว่ามีคนที่ไม่ใช่หลงในอคติ มีคนที่อยากจะไปในทางที่ไม่ถูก อยากจะไปในทางที่เป็นอคติ เขาพยายามที่จะหลอกลวงตลอดเวลา ท่านต้องเข้มแข็ง ความเข้มแข็งของผู้พิพากษาจะต้องรักษาไว้ตลอดชีวิต ทั้งในเวลาที่ปฏิบัติหน้าที่ หมายความว่า เวลาขึ้นบัลลังก์ หรือทำหน้าที่ในการพิพากษา ทั้งเวลาธรรมดาปกติ อย่างท่านไปไหน ท่านก็ละทิ้งความเป็นผู้พิพากษา ละทิ้งความเป็นคนที่มีความดี ความตรงไปตรงมา ละทิ้งไม่ได้ อย่างเช่น ท่านไปอยู่ในชนบท ท่านไปเห็นคนไม่ดี ท่านต้องต่อสู้ เพื่อให้ความไม่ดีนั้นหายไป หมดไป จะต้องให้ความดีอยู่ ต้องรักษาไว้”
เมื่อได้อ่านคำพิพากษาจำคุก นายสนธิ ลิ้มทองกุล 3 ปี ไม่รอลงอาญา ผมมีความเชื่อมั่นว่าผู้พิพากษาได้น้อมนำพระบรมราโชวาทมาเป็นแนวทางมาปฏิบัติแล้ว
แต่เพียงแค่ศาล ยังไม่เพียงพอต่อการกอบกู้ประเทศไทยที่แตกแยกอย่างหนักให้กลับคืนสู่ความสมัครสมานสามัคคี ดังพระราชประสงค์ ที่ทรงเน้นย้ำทุกโอกาสแก่ประชาชนและข้าราชการทุกหมู่เหล่า
ทุกองคาพยพของรัฐ ที่ภาคภูมิใจในความเป็นข้าราชการในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เป็นข้าแผ่นดิน เป็นข้าในพระองค์ ควรจะน้อมนำพระบรมราโชวาท และคำพิพากษาของศาลในคดีนี้ ไปขยายผลต่อเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ และเพื่อสนองพระราชดำรัสโดยเร็ว
คำพิพากษาของศาลชี้ไว้ชัดแล้วว่า การที่ นายสนธิ ลิ้มทองกุล พูดจากล่าวหาให้ร้าย หมิ่นประมาท พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โดยไม่มีเจตนาที่จะพิสูจน์ความจริง และทำให้ประชาชนหลงเชื่อว่ามีความใกล้ชิดกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการใส่เสื้อสีเหลืองมีข้อความว่า “เราจะสู้เพื่อในหลวง” คือต้นเหตุของความแตกแยกในประเทศไทย ทำให้ประชาชนในชาติแตกแยกความสามัคคี แบ่งข้างแบ่งฝ่าย โดยใช้สถาบันพระมหากษัตริย์เป็นเครื่องมือ
ลำพังเพียงคำพูดของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ก็คงไม่ทำให้เกิดความแตกแยกและก่อให้เกิดวิกฤติของประเทศมากมายขนาดนี้ หากว่าเป็นการพูดในสถานที่ส่วนตัว เป็นการพูดในวงจำกัด มีคู่สนทนาและผู้รับฟังไม่กี่คน และไม่มีการนำไปถ่ายทอดต่อ ความเสียหายก็จะเกิดในวงจำกัด ไม่แพร่ขยาย กระจายลุกลามไปทั่วประเทศและทั่วโลกเช่นที่ผ่านมา
แต่เป็นเพราะนายสนธิใช้วิธีการพูดผ่านสื่อ ที่ตนเองและลูกหลาน บริวาร เป็นเจ้าของ เป็นผู้บริหาร ได้แก่ สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน รายสัปดาห์ รายเดือน เว็บไซต์ manager.co.th จึงทำให้ความเสียหายและความแตกแยกจากการพูดเท็จ และแอบอ้างใกล้ชิดสถาบันพระมหากษัตริย์ ขยายตัวอย่างรวดเร็ว เป็นวิกฤติครั้งใหญ่ที่สุดของประเทศไทย อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
ศาลได้ตัดสินลงโทษการกระทำความผิดของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้พูด และ นายขุนทอง ลอเสรีวานิช บรรณาธิการหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ผู้เผยแพร่ข้อความคำพูดของนายสนธิแล้ว แต่ยังมีสื่ออีกหลายชนิดในเครือข่าย ที่นายสนธิใช้ในการกระทำความผิดกรณีนี้เหมือนกับหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวัน ที่ยังไม่ถูกลงโทษ
แม้จะไม่มีคำพิพากษาของศาล แต่ หากหน่วยงานของรัฐที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องมีความเข้มแข็ง และไม่หลงในอคติ ดังพระบรมราโชวาท ก็ย่อมจะเข้าใจได้ดีว่าสื่อในเครือข่ายนายสนธิ หาได้มีจุดมุ่งหมายที่แตกต่างจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันแต่อย่างใด
ผลของการกระทำของสื่อเหล่านั้น ก็เห็นกันอยู่แล้วว่า ร่วมกันสร้างความแตกแยกของคนในชาติอย่างรุนแรง ไม่ได้มีแต่หนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันเท่านั้นที่เผยแพร่คำพูดของนายสนธิ
โดยเฉพาะ สถานีโทรทัศน์เอเอสทีวี และเว็บไซต์ manager.co.th ซึ่งเป็นเครื่องมือที่นายสนธิใช้แพร่ขยาย กระจายความคิด ชักจูงประชาชนให้หลงผิด เห็นกงจักรเป็นดอกบัว เห็นคนชั่วเป็นคนดี จนทำให้แผ่นดินไทยที่เคยสงบต้องลุกเป็นไฟ ทำให้คนไทยที่เคยรักเอื้อเฟื้อกัน ต้องเป็นศัตรูมุ่งฆ่าฟันกันเอง
ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่รัฐบาลภายใต้การนำของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ในฐานะอดีตองคมนตรี จะน้อมนำพระบรมราโชวาทมาเป็นแนวทางปฏิบัติ เหมือนกับที่ผู้พิพากษาได้แสดงให้เห็นถึงความเข้มแข็งและไม่หลงในอคติของศาลแล้ว จะใช้อำนาจและกฎหมายที่มีอยู่ในมือ ยุติการแพร่ภาพของสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีในเร็ววัน เพื่อยุติการสร้างความแตกแยกในแผ่นดินไทย ที่จนถึงวันนี้ เอเอสทีวีก็ยังไม่หยุดสร้างความแตกแยก และปลุกระดม แบ่งขั้ว แบ่งข้าง อย่างต่อเนื่อง
เพียงแต่รัฐบาลสั่งให้ กรมประชาสัมพันธ์ยื่นคำร้องต่อศาลปกครอง ให้ยกคำร้องขอคุ้มครองชั่วคราวของเอเอสทีวี ความแตกแยกของบ้านเมือง การแบ่งข้างแบ่งขั้วของคนไทยก็จะหายไป ความสุขสงบ ความสมานฉันท์ ก็จะกลับคืนมาทันที เพราะไม่มีสื่อที่ทำตัวเป็น “บ่างช่างยุ” และ “ยามเผาแผ่นดิน” อีกต่อไป
เว้นเสียแต่ว่า รัฐบาลและ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ไม่ได้น้อมนำพระบรมราโชวาทมาปฏิบัติ และไม่เห็นด้วยกับคำพิพากษาของศาล