ผลการเลือกตั้งออกมาแล้วอย่างชัดเจน พรรคพลังประชาชน ได้เป็นอันดับหนึ่ง ด้วยคะแนน 233 เสียง ทิ้งห่างคู่แข่งอันดับสอง คือ พรรคประชาธิปัตย์ที่ได้คะแนน 165 อยู่ 68 เสียง
เรียกว่า 'ชนะแบบขาดลอย'
ท่ามกลางคนดู ที่ก็รู้และเห็นว่า ทั้งกติกา – กรรมการข้างสนาม – กรรมการบนเวที เอนเอียงขนาดไหน...?
จริงๆ แล้ว สถานการณ์ทางด้านการเมืองของประเทศไทยที่ดำมืด แบ่งฝักแบ่งฝ่ายอย่างชนิด เอาเป็นเอาตายกันมายาวนานถึง 15 เดือน น่าจะจบลงด้วยบรรยากาศที่พอจะมองเห็นความกลมเกลียวในสายเลือด คนไทยด้วยกันเองปรากฎขึ้นบ้าง
แต่ก็ดูจะเข้าสุภาษิตที่ว่า 'ขี้แพ้ชวนตี' ทำลายความหวังของคนไทยไปเสียอย่างนั้นแหละ !!!
สังคมประชาธิปไตย จะเดินหน้าไปได้ ก็อยู่ที่ผู้คนในสังคมนั้น ต้องรู้จักเคารพ กติกา หรือกฎระเบียบ ที่ใช้อยู่ร่วมกัน – รู้จักแพ้ รู้จักชนะ มีหัวใจเป็นนักกีฬา - รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่นด้วยจิตใจที่บริสุทธิ์
ที่สำคัญ ต้องรู้จักให้เกียรติผู้อื่นด้วยความจริงใจ !!!
แต่นี่อะไร... เป็นทั้งการแข่งขันกันทางการเมืองในระดับชาติที่คนในสังคมต่างก็ต้องจับตามองกันถ้วนหน้า... เป็นถึงระดับคนที่เสนอตัวเข้ามาเป็นผู้นำประเทศ ที่จะต้องทำตนให้เป็นตัวอย่างที่ดีงามแก่สังคม... เป็นบรรยากาศเริ่มต้นที่จะพาสังคมไทยกลับเข้าสู่ภาวะแห่งความสมานฉันท์
คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กำลังแสดงอะไร...?
ผมต้องขอยืมคำพูดของ รศ.ดร.ธเนศวร์ เจริญเมือง อาจารย์คณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ มาตอกย้ำอีกครั้งว่า
'คุณอภิสิทธิ์เองก็เคยเรียนถึงเมืองนอกมาแล้ว เห็นประเพณีประชาธิปไตยของตะวันตกมาแล้ว ที่หลังการเลือกตั้ง พรรคการเมืองที่ได้ที่สองหรือได้คะแนนน้อยเขาจะโทรศัพท์ ไปแสดงความยินดีกับพรรคที่ได้ คะแนนอันดับหนึ่ง แล้วประกาศว่า ยินดีให้ความร่วมมือทุกอย่างเพื่อให้พัฒนาประเทศต่อไป
ทั้งที่ก่อนจะมีเลือกตั้ง คุณอภิสิทธิ์ก็พูดทำนอง จะสร้างความสมานฉันท์ แต่พอคะแนนออกมาแล้วกลับ พูดกระทบกระเทียบ ไม่แสดงความยินดี ซึ่งไม่สง่างาม
การไม่ยอมรับความพ่ายแพ้นี้ ถือว่าแสดงความไม่จริงใจ แทนที่จะบอกว่า จะร่วมมือกับผู้ชนะ เพื่อพัฒนาประเทศ แต่กลับแสดงออก พร้อมแข่งขันตั้งรัฐบาลตลอด และมีบางประโยคพูดเหมือนกับจะตั้งรัฐบาล แข่งโดยบอกว่าเพราะพลังประชาชนคะแนนไม่ถึงครึ่ง ซึ่งนี่เหมือนกับมีการล็อกไว้ไม่ให้ถึงครึ่ง แล้วให้มีการช่วงชิง พรรคเล็กพรรคน้อยมารวม
ดังนั้น บรรยากาศสังคมไทยเลยตึงเครียดตั้งแต่ตอนเย็นของวันเลือกตั้งเมื่อวาน เพราะคะแนนไม่ถึงครึ่ง ทั้งที่หลังการเลือกตั้ง เย็นวันนั้นควรเป็นบรรยากาศแห่งความชื่นมื่นสมานฉันท์ ทุกฝ่ายยินดีกับผู้ชนะ แต่กลับไม่เป็นอย่างนั้น
เหมือนคล้ายๆ อิจฉา ไม่ไว้ใจ เหมือนมีการกระทบกระเทียบ มีความพยายามตั้งพรรครัฐบาลแข่ง แทนที่จะยื่นมือสนับสนุน หรือปล่อยวางเปิดโอกาสให้ผู้ชนะเต็มที่
คุณอภิสิทธิ์กล่าวเช่นนี้เหมือนเป็นผู้แพ้ที่ไม่เคารพ ไม่ให้เกียรติผู้ชนะตามประเพณีประชาธิปไตย
แล้วสุดท้ายจริงๆ ช่วงดึก บรรยากาศยิ่งไม่ค่อยดี เพราะมีข่าวว่า พรรคเล็กพรรคน้อยไปพูดกันเอง ซึ่งมันเป็นเรื่องที่แปลก
เขามีแต่จะไปคุยกับพรรคใหญ่ อันนี้กลายเป็นพรรคเล็กๆ พูดกันเองแล้วบอกว่า ทำเพื่อชาติ
ไม่ใช่แล้ว... มองอย่างไรก็ไม่ใช่ นี่เป็นการสร้างเงื่อนไขทางการเมือง!!!
แทนที่ election night ควรเป็นคืนแห่งความชื่นชมยินดี ผู้แพ้ยอมรับพ่ายแพ้อย่างสง่างาม มีน้ำใจนักกีฬา เป็นคืนที่แต่ละฝ่ายหันหน้าเขาหากันอย่างสมานฉันท์ แต่ที่พูดมานี้ไม่มีเลย
สะท้อนว่าการต่อสู้ทางการเมืองในสังคมระหว่างพรรคฝ่ายต่างๆ จะดำเนินต่อไป เสถียรภาพทางการเมือง จะเป็นคำถามต่อไป บรรยากาศสมานฉันท์ที่หลายๆ ฝ่ายใฝ่หาจะเป็นความจริงได้หรือไม่' นั่นคือ คำกล่าว ของอาจารย์ธเนศวร์
ส่วนผม ก็อยากตั้งคำถามว่า... นี่หรือคือบุคคลที่สังคมไทยจะฝากผีฝากไข้ให้ขึ้นมาเป็นผู้นำประเทศ...?
นอกจากคุณอภิสิทธิ์ ที่ยังทำตัวเป็นเด็กอมมือให้อับอายผู้คนไปทั่วโลกแล้ว สื่ออีกหลายสำนัก ก็ดูจะพาให้สังคมไทยวิปริตตามไปด้วย
รับลูกเอียงข้าง สร้างกระแสให้พรรคเสียงข้างน้อยจับขั้วตั้งรัฐบาลแบบหน้าด้านๆ ให้กลายเป็นความชอบธรรมไปแบบดื้อๆ เสียอย่างนั้น
กลายเป็นคุณสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรคพลังประชาชน ที่ได้เสียงข้างมาก ไม่เหมาะสมเป็นแกน จัดตั้งรัฐบาล ไม่เหมาะสมเป็นนายกรัฐมนตรี
แล้วนี่สังคมไทยจะอยู่กันยังไง จะเอาอะไรมาเป็นหลัก จะเอาอะไรมาเป็นเกณฑ์ ให้คนในสังคมได้ยึดถือเป็นความถูกต้อง เป็นวัฒนธรรมที่ดีงามที่ต้องยึดถือเป็นแบบอย่างของคนรุ่นหลังๆต่อไป
หนักเข้าไปอีกก็ลมปากของรัฐมนตรีกลาโหม พล.อ.บุญรอด สมทัศน์
ที่แสดงวิสัยทัศน์ให้เห็นว่า ไม่เคารพในเสียงส่วนใหญ่ของประเทศ ถือเอาพรรคประชาธิปัตย์ที่เป็นผู้ชนะ การเลือกตั้งใน กทม.เป็นตัวชี้ขาดต้องเป็นนายกฯ
อย่างนั้นคงต้องให้คนไทยทั้งประเทศย้ายทะเบียนมาอยู่กันให้หมดใน กทม.ดีไหม
ฟังแล้วนึกไม่ออกเลยว่า พูดออกมาได้อย่างไร หรือคนพูดมองคนต่างจังหวัดว่า ไม่ใช่คนไทย สิทธิและเสียงของพวกเขาจึงอ่อนด้อยกว่าคนใน กทม.
ยอมรับ.. แล้วปล่อยให้ทุกอย่างดำเนินไปตามครรลองที่ถูกต้องเสียทีเถอะ !!!