ไม่ว่ารัฐบาลใหม่จะเป็นพรรคการเมืองใด เป็นขั้วไหน เป็นฝ่ายใด ภารกิจแรกที่ผมอยากจะฟังว่าท่านจะตัดสินใจอย่างไร ก็คือ ท่านจะเอาอย่างไรกับ ร่าง พ.ร.บ.รักษาความมั่นคงในราชอาณาจักร หรือ ร่างกฎหมายความมั่นคง ที่กำลังจะเป็นกฎหมายออกมาบังคับใช้กับประชาชนทุกคน ให้อยู่ใต้อำนาจเผด็จการอย่างต่อเนื่องและยาวนาน ไม่มีที่สิ้นสุด
ก่อนการเลือกตั้งเพียง 2 วัน คือ เมื่อวันศุกร์ที่ 21 ธันวาคม ที่ผ่านมา สภานิติบัญญัติแห่งชาติ ซึ่งเป็น สภาของเผด็จการ โดยเผด็จการ เพื่อเผด็จการ ได้รวบรัดเร่งรีบยกมือให้ความเห็นชอบกับร่างกฎหมายความมั่นคง โดยไม่ฟังเสียงคัดค้าน ไม่สนใจคำทัดทาน ทักท้วง ของประชาชน นักวิชาการ และสื่อมวลชน
ร่างกฎหมายความมั่นคง ที่ สนช. ให้ความเห็นชอบ และกำลังจะออกมาเป็นกฎหมายกดหัวประชาชนให้อยู่ใต้อำนาจของทหารนี้ เรียกได้ว่าเป็น ไข่ที่เผด็จการ คมช. ไข่ทิ้งไว้ เพราะรู้ดีว่าวันหนึ่งข้างหน้าจะต้องหมดลมหายใจไป ไม่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อไป เพราะกระแสประชาธิปไตยไหลท่วมบ่า พาชีวิตจมตายอยู่ใต้กระแสเชี่ยวกรากของประชาธิปไตย
ไข่ของเผด็จการที่ คมช. ไข่ทิ้งไว้นี้ ได้รับการดูแลฟูมฟักเป็นอย่างดีจากรัฐบาลที่มี พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นนายกรัฐมนตรี และจากสมาชิกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ที่มี นายมีชัย ฤชุพันธุ์ เป็นประธาน และในที่สุด นายมีชัย ประธาน สนช. ซึ่งรับหน้าที่ฟักไข่ ก็ทำได้สำเร็จตามภารกิจที่ได้รับความไว้วางใจ และได้รับมอบหมายมาจากเผด็จการ คมช.
เป็นการฟักไข่ท่ามกลางเสียงประท้วงของประชาชนจำนวนมากที่อยู่หน้าสภา แต่ก็ไม่อาจจะทำให้นายมีชัยสะดุ้งสะเทือน สะทกสะท้าน แม้แต่น้อย ซึ่งแสดงถึงความเป็นมืออาชีพของนายมีชัย ที่รับใช้เผด็จการมาตลอดชีวิตได้เป็นอย่างดี ว่าหัวจิตหัวใจเป็นเช่นไร
กฎหมายความมั่นคงนี้ หากจะนับกันจริงๆ แล้ว ก็มีเพียงทหารหัวใจเผด็จการ และลิ่วล้อบริวารที่อยู่ในสภานิติบัญญัติแห่งชาติเท่านั้น ที่เห็นดีเห็นงามไปด้วย เพราะ กฎหมายฉบับนี้ออกมาเพื่อให้ทหารมีศักดิ์และสิทธิเหนือประชาชนคนทั่วไป มีอำนาจเหนือกฎหมายทั้งหลายทั้งปวง แม้แต่รัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยสิทธิเสรีภาพของปวงชนชาวไทย ก็ดูจะไร้ความหมาย เพราะต้องอยู่ใต้กฎหมายความมั่นคง
โดยอาศัยอำนาจตามที่กฎหมายความมั่นคงบัญญัติไว้ ทหารจะมีอำนาจกระทำการในสิ่งที่รัฐธรรมนูญห้ามกระทำได้หลายเรื่อง และทุกเรื่องล้วนแต่เป็นเรื่องสำคัญ และกระทบต่อสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานของประชาชน ซึ่งเป็นหลักการและหัวใจสำคัญของประชาชนทั้งสิ้น
ภายใต้กฎหมายความมั่นคง ประชาชนจะถูกจำกัดสิทธิ ห้ามพูด เขียน ปราศรัย ชุมนุม แสดงออก วิเคราะห์ วิจารณ์ และสื่อสารถึงกัน ในสิ่งที่ทหารเห็นว่าเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
ภายใต้กฎหมายความมั่นคง ประชาชนจะถูกจำกัดสิทธิ ห้ามเดินทางออกนอกเคหสถาน ห้ามเดินทางออกนอกเขตอำเภอ เขตจังหวัด ห้ามให้ที่พักพิงแก่ผู้อื่น และต้องยอมรับอำนาจของทหาร ที่จะเข้าตรวจค้นบ้านเรือน เคหสถาน ในยามวิกาล โดยไม่ต้องมีหมายศาล อีกทั้งสั่งให้ออกนอกพื้นที่เขตอำเภอ เขตจังหวัดได้โดยไม่ต้องแจ้งข้อกล่าวหา หรือการกระทำความผิด หากทหารเห็นว่าเป็นบุคคลที่ไม่พึงประสงค์ และเป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ ซึ่งทหารจะเป็นผู้พิพากษาเองว่าใครคือบุคคลที่เป็นภัยต่อความมั่นคงของชาติ
ภายใต้กฎหมายความมั่นคง ทหารมีอำนาจที่กระทำการได้ทุกสิ่งทุกอย่าง อันเป็นการละเมิดสิทธิเสรีภาพในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน โดยไม่ต้องรับผิดชอบ ไม่ต้องรับผิดตามกฎหมายบัญญัติ และไม่ต้องรับโทษตามกฎหมายกำหนด ตรงกันข้าม การกระทำอันเป็นการละเมิดของทหาร กลับได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายความมั่นคง ว่าเป็นการปฏิบัติหน้าที่โดยชอบด้วยกฎหมาย
ภายใต้กฎหมายความมั่นคง ทหารมีอำนาจที่จะแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการทุกกระทรวง ทบวงกรม ได้ทั่วประเทศ ตามความเห็นชอบของทหาร ในฐานะที่ผู้บัญชาการทหารบกเป็นรอง ผอ.กอ.รมน. และแม่ทัพภาค เป็น ผอ.รมน.ภาค โดยไม่ต้องคำนึงถึงหลักธรรมาภิบาล และหลักการแห่งกฎระเบียบข้าราชการพลเรือน เจ้าพนักงานของรัฐ
ภายใต้กฎหมายความมั่นคง ทหารมีอำนาจที่จะกำกับดูแลการปฏิบัติงานของส่วนราชการทั้งหมด แทนคณะรัฐมนตรี เสมือนหนึ่งทหารเป็นผู้บังคับบัญชาในระดับนโยบายแทนรัฐบาล
ผมจำได้ว่า ในการตอบคำถามของ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก เมื่อครั้งเปิดกองทัพบกพบปะสื่อมวลชน ท่านพูดไว้ชัดเจนว่า ท่านไม่ต้องการกฎหมายความมั่นคงแบบนี้ ท่านเพียงแต่ต้องการกฎหมายที่ทำให้ทหารทำงานได้อย่างรวดเร็ว ทันกับสถานการณ์ และปัญหาที่เกิดขึ้น ไม่ใช่กฎหมายที่ลิดรอนสิทธิของประชาชน และทำให้ประชาชนหวาดระแวง ไม่ไว้ใจทหาร
เมื่อผู้บัญชาการทหารบก ซึ่งเป็นผู้ที่จะต้องใช้อำนาจคนสำคัญที่สุดในกฎหมายฉบับนี้ พูดไว้ชัดแล้วว่า ไม่ได้ต้องการอำนาจมากมายเช่นนี้ ก็น่าจะเป็นโอกาสดีที่รัฐบาลใหม่จะได้เข้ามาแก้ไขกฎหมายความมั่นคง ให้เป็น กฎหมายที่รักษาความมั่นคงแก่ชีวิตของประเทศชาติและประชาชน อย่างแท้จริง ไม่ใช่กฎหมายที่มุ่งเน้นรักษาความมั่นคงให้กับทหารบางคนบางกลุ่ม แต่กลับมาทำลายความมั่นคงของประชาชนจนหมดสิ้นไป
ผมจึงขอเรียกร้องให้พรรคการเมืองที่มีโอกาสจะเป็นรัฐบาลใหม่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ พูดให้ชัดเสียแต่วันนี้เลยว่า จะดำเนินการอย่างไรกับกฎหมายความมั่นคงฉบับนี้
พูดให้ชัดว่า ท่านจะเลี้ยงดูตัวอ่อนของเผด็จการ ที่ นายมีชัย ฤชุพันธุ์ ฟักออกมาจากไข่ ที่ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ไข่ทิ้งไว้ เพื่อให้เติบใหญ่เป็นภัยแก่ประชาชนต่อไป หรือจะทำลายตัวอ่อนเผด็จการตัวนี้ทิ้งเสีย
ในความเห็นของผม หากสาระสำคัญของกฎหมายมั่นคงที่ยกมาเอ่ยถึงในคอลัมน์นี้ยังคงมีอยู่ต่อไป ก็ป่วยการที่เราจะเป็นประชาธิปไตย เพราะ ภายใต้กฎหมายความมั่นคงฉบับนี้ เราก็คงเป็นได้แค่ ประชาธิปไตยในร่มเงาเผด็จการ เท่านั้น
///////////////
นายกอ....จากหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์
ฉบับวันที่ 24/12/07