ย้อนกลับไปช่วงที่ผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการเริ่มชัดเจนออกมาแล้วว่า พรรคที่ได้รับชัยชนะมาเป็นอันดับ 1 คือ พรรคพลังประชาชน นั้น…
ในยามนั้นคงไม่มีใครคาดหวังให้พรรคอันดับ 2 อย่าง ประชาธิปัตย์ จะออกมาแสดงความยินดีบนความพ่ายแพ้ของตัวเอง เหมือนอย่างที่อดีตนายกรัฐมนตรีออสเตรเลียออกมาแสดงความยินดีกับพรรคคู่แข่งที่ชนะการเลือกตั้งไป...
เราอาจจะชื่นชมกับสปิริตนักการเมืองของฝรั่งตาน้ำข้าว แต่ก็ไม่ได้เรียกร้องให้นักการเมืองไทยต้องทำตามแต่อย่างใด...ด้วยเข้าใจว่าวัฒนธรรมบางอย่างอาจไม่เหมือนกัน
แต่ทว่า...ผ่านมาไม่กี่วัน ท่าทีและปฏิกิริยาหลายอย่างของพรรคประชาธิปัตย์ กลับเริ่ม “ผิดกาลเทศะ” มากขึ้นเรื่อยๆ
ตั้งแต่วันแรกที่รู้ผล ที่กล้าประกาศแบบเปิดช่องให้ตัวเองว่าพร้อมจะจัดตั้งรัฐบาลแทนพรรคอันดับ 1 ที่อาจจะวืดก็ได้นั้น...ก็ออกจะเสียมารยาทมากอยู่แล้ว
แต่การที่ออกมาพูดวิพากษ์วิจารณ์รายวันเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาล ทั้งดักคอพรรคพลังประชาชน พร้อมๆ กับแอบปลดกลอนหลังบ้านของตัวเอง เปิดทางให้ใครเข้ามาก็ได้นั้น...มันช่างผิดที่ผิดทางอย่างยิ่ง เพราะในเวลาแบบนี้ พรรคอันดับ 2 ควรจะปิดปากเงียบ ปล่อยให้พรรคอันดับ 1 เขาพูดจากันไปให้เสร็จสิ้นกระบวนความ...ซึ่งถ้าเวลานั้นไม่สามารถจัดตั้งกันได้จริงๆ แล้วโอกาสค่อยไหลมาสู่มือวางอันดับ 2...ก็ไม่มีอะไรน่าเกลียด
นั่นเรื่องมารยาททางการเมืองก็อีกเรื่องหนึ่ง
แต่ถ้าตัดคำว่ามารยาท สปิริต หรือหลักการประชาธิปไตย ที่พรรคอันดับ 1 ต้องเป็นแกนนำในการจัดตั้ง...ตัดเรื่องเหล่านี้ออกไป
พรรคประชาธิปัตย์ก็ยังไม่ควรพยายามเสนอตัวมาเป็นรัฐบาลอยู่ดี
จากจำนวน ส.ส. ที่คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศออกมาอย่างเป็นทางการนั้น พรรคพลังประชาชนได้ทั้งหมด 233 ที่นั่ง
ขณะที่ประชาธิปัตย์ที่ตามมาเป็นอันดับ 2 ได้เพียง 165 ที่นั่ง
ซึ่งถ้าประชาธิปัตย์จะเป็นรัฐบาลได้ ก็คือต้องรวบรวมพรรคที่เหลือทั้งหมด นอกเหนือจากพลังประชาชน ไว้ด้วยกัน เพื่อจะให้ได้ 247 เสียง เกินครึ่งหนึ่งมาเพียง 7 เสียง
ก็อย่างที่ สุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์พูดไว้นั่นแหละว่า...เกินมาแค่นั้นก็พอแล้ว
ในทางหลักการคงไม่เป็นไร แต่ถามว่าแล้วความเสียหายในระดับประเทศ...ประชาธิปัตย์ได้คิดถึงบ้างหรือไม่
ถ้าประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลด้วยคะแนนเสียงเท่านั้น ขณะที่พรรคฝ่ายค้านมีถึง 233 เสียง เกือบครึ่งสภา อยากถามว่าแล้วรัฐบาลจะทำงานทำการกันได้อย่างไร
เรื่องจะให้ฝ่ายค้านนั่งเฉยๆ โดยไม่อภิปราย ก็เห็นจะไม่ได้ เพราะฝ่ายใดก็ต้องทำหน้าที่ของฝ่ายนั้น
หรือยังไม่ต้องถึงมือฝ่ายค้าน ลำพังแค่ทะเลาะต่อรองกันเองในรัฐบาล ก็วุ่นวายจนไม่มีเวลาไปบริหารประเทศแล้ว
เรื่องแบบนี้ ถ้า อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คิดว่าตัวเองเป็นนักการเมืองรุ่นใหม่ ไม่น้ำเน่า ให้ลองไปถามโก๋แก่เก๋าทั้งหลายในพรรคดูก็ได้ว่าจะวุ่นวายจริงเพียงใด และสภาพรัฐบาลที่คะแนนเสียงฟัดเหวี่ยงกับฝ่ายค้านแบบเฉียดฉิวแค่นี้ ...หัวหน้าพรรคหรือนายกฯ จะต้องหมดตูดสักแค่ไหน
คนอย่างเทพเทือก หรือใครก็ตามในประชาธิปัตย์ คงไม่มีทางที่จะไม่รู้วัฒนธรรมการเมืองไทยแบบนี้...แต่ทั้งที่รู้ก็ยังจะพูดจาสอดแทรกกระแซะจะเป็นรัฐบาลให้ได้ตลอดเวลา
แสดงว่าตำแหน่ง (ในรัฐบาล) ต้องมาก่อน ไม่ใช่ประชาชนมาก่อน...หรืออย่างไร ?