ผู้ใหญ่มักจะให้คำปรึกษาที่ยอดเยี่ยมลุ่มลึกอยู่เสมอ เพราะเห็นอะไรมาหลายรอบเต็มที รู้ทีเดียวว่าจุดเริ่มต้นอย่างนั้นจะไปถึงจุดจบเอาตอนไหน ลูกหลานที่ชาญฉลาดก็มักจะไปขอพึ่งบารมีทางปัญญาของท่านเพื่อให้หลุดจากหลุมพรางของตัวเองในขณะนั้นได้
ยอมรับล่วงหน้าเสียเลยว่าข้อเขียนของผมในวันนี้คงจะเชยแหลก
เหตุผลก็เพราะเขียนก่อนที่จะรู้ผลเลือกตั้งหลายวัน จะให้นั่งเทียนหรือส่องลูกแก้วเพื่อทำนายผลล่วงหน้าก็เกินความสามารถไปมาก
แต่ไม่เป็นไรหรอกครับ เรื่องที่ติดอยู่ในใจผมมาตั้งแต่เมื่อวานนี้อาจจะมีความ "สำคัญ" มากกว่าผลการเลือกตั้งก็ได้หากท่านไปถามพลเอกเปรม ติณสูลานนท์
ท่านอดีตนายกรัฐมนตรีในวัย 87 ผู้ดำรงตำแหน่งประธานองคมนตรีและเป็นรัฐบุรุษ กำลังย้ำแล้วย้ำอีกอย่างไม่รู้เบื่อว่า บ้านเมืองนี้ต้องการ "คนดี" และจะต้องใช้สิทธิ์เลือกตั้งเพื่อให้ได้ "คนดี" มาปกครองประเทศ
นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ท่านออกเดินจาริกแสวงบุญเพื่อ "สอน" สังคมไทยในเรื่อง "คนดี" ตรงกันข้ามท่านได้พร่ำพูดเรื่องนี้มานับครั้งไม่ถ้วนจนกลายเป็นเจ้าของสัมปทานผูกขาดไปแล้วว่าคนดีในสังคมนี้มีรูปร่างหน้าตาอย่างไร
ใครจะดีเลวขนาดไหนในบ้านนี้เมืองนี้ ต้องไปถามพลเอกเปรม
เอาเถิดครับ อย่าว่าแต่คนที่มีตำแหน่งหน้าที่อันสำคัญขนาดท่านเลย แค่ชาวบ้านธรรมดาที่อายุเกือบ 90 โดยที่ยังไม่หลงใหลหรือสมองฝ่อ ก็ควรจะได้รับความสนใจจากคนรุ่นหลัง เพราะเห็นโลกมาขนาดนั้นก็ย่อมต้องมีภูมิปัญญาอยู่ในตัวบ้าง
แต่ประเด็นคือการให้คำปรึกษากับการกรอกหูนั้นเป็นคนละคำกัน
ผู้ใหญ่มักจะให้คำปรึกษาที่ยอดเยี่ยมลุ่มลึกอยู่เสมอ เพราะเห็นอะไรมาหลายรอบเต็มที รู้ทีเดียวว่าจุดเริ่มต้นอย่างนั้นจะไปถึงจุดจบเอาตอนไหน ลูกหลานที่ชาญฉลาดก็มักจะไปขอพึ่งบารมีทางปัญญาของท่านเพื่อให้หลุดจากหลุมพรางของตัวเองในขณะนั้นได้
ถ้าถามแล้วได้รับคำตอบมาประดับสติปัญญา ลูกหลานจะนิยมยกย่องและเพิ่มความนับถือขึ้นอีกมาก วันหลังก็จะย่องไปปรึกษาหรือขอปัญญาจากท่านอีก
เหมือนไปสนทนาธรรมกับสงฆ์ผู้ปฏิบัติธรรมมาแล้วจนแจ่มกระจ่างนั่นล่ะครับ อร่อยความคิดเสียจนบางครั้งก็ติดรส แวะไปนมัสการท่านอีกเรื่อยๆ
แต่ผู้ใหญ่ที่ไม่มีใครถามหรือขอคำแนะนำ แต่ชอบที่จะยัดเยียดให้เขาอยู่เรื่อย มักจะถูกลูกหลานนินทาลับหลังอย่างไม่ค่อยศรัทธาเชื่อถือนัก แถมยังพยายามหลีกไปให้ห่างไกล เพราะกลัวท่านจะสาดกระสุนทางความคิดเข้าใส่
ไม่มีคำสอนใดจะไร้ประโยชน์เท่ากับคนที่เขาไม่ต้องการได้รับ
จะด่าเด็กว่าตักน้ำรดหัวตอก็ได้ถ้าทำให้ผู้ใหญ่รู้สึกสบายใจ แต่กับผู้ใหญ่บางประเภทเราต้องบอกว่าคำสอนที่พร่ำพูดมาไม่ได้ออกมาจากเมตตาธรรม แต่กลับออกมาจากความกระหายจะยิ่งใหญ่เหนือคนอื่น ก็เลยกลายเป็นเพียงการแสดงอำนาจราชศักดิ์ของตนไปแทน
ความรู้สึกแบบนี้นักปฏิรูปการศึกษาเขาเรียกว่าไม่รู้จักเอาผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง (student-centered) แต่กลับเอาคนสอนมาเป็นศูนย์กลาง อย่างที่เรียกว่าผู้บัญชาการในห้องเรียน
เอะอะอะไรก็บอกให้ฟังครู แสดงเหตุผลเข้าหน่อยก็โกรธกระฟัดกระเฟียด หาเรื่องลงโทษเฆี่ยนตีกันจนเงียบเสียงไป
ห้องเรียนแบบหลังจึงมีประสิทธิภาพมากในการผลิตนักเผด็จการต่อไปเรื่อยๆอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
แต่แบบแรกที่นักเรียนเกิดความใคร่รู้ใคร่เรียนแล้วมาแสวงหาคำตอบโดยสุจริตใจนั้นกลับส่งเสริมการปกครองในระบอบประชาธิปไตยเป็นอย่างยิ่ง เพราะเคารพในความเป็นมนุษย์ของนักเรียนแต่ละคนเสียตั้งแต่ต้น
พระสงฆ์ท่านจะเทศน์ให้ใครก็ต่อเมื่อผู้นั้นอาราธนาหรือเชิญท่านก่อนทุกครั้ง
ข้อคิดประการสำคัญที่สุดในการออกมาสอนสรรพสิ่งใดๆคือรอให้เขาถามเสียก่อนครับ.--จบ-
////////////////////////////
คอลัมน์: เลือกคบไม่เลือกข้าง...
จากหนังสือพิมพ์โลกวันนี้