แล้วก็เป็นไปตามความคาดหมาย สำหรับผลการเลือกตั้งในวันที่ 23 ธันวาคม 2550...คือ ไม่มีพรรคการเมืองใดได้ที่นั่งเกินกึ่งหนึ่งของจำนวน ส.ส. ทั้งหมด หรือ 240 จากทั้งหมด 480 ที่นั่ง
ดังนั้น หลังผลคะแนนอย่างไม่เป็นทางการเริ่มชัดเจนออกมาในเวลาเที่ยงคืน คำถามสำคัญที่สุดที่ทุกคนรอคอย คาดเดา และพยายามคาดคั้นเอาคำตอบจากพรรคการเมืองต่างๆ ให้ได้ก็คือ
ใครจะจับขั้วกับใคร?
ถ้าเป็นตามสถานการณ์ปกติ พรรคพลังประชาชนที่ได้ที่นั่งมากที่สุดถึง 232 ย่อมต้องเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลอย่างไม่ต้องสงสัย โดยต้องการอีกไม่กี่สิบที่นั่งเพียงเท่านั้น และพรรคขั้วตรงข้าม (ตลอดกาล) อย่างประชาธิปัตย์ ก็คงเตรียมตัวเตรียมใจพร้อมแล้วสำหรับการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน เหลือแต่ “เจ้าเมืองแปร” อย่างพรรคที่ได้คะแนนมาเป็นอันดับที่ 3 ที่ดูจะมีความสุขที่สุด เพราะจะเลือกข้างใดก็ได้ และเผลอๆ อาจจะได้ตำแหน่งสำคัญๆ ในรัฐบาลมากกว่าพรรคที่ได้จำนวน ส.ส. มากกว่าด้วยซ้ำไป
แต่ว่า...การเลือกตั้งครั้งนี้ไม่อาจเรียกได้ว่าปกติ...
ไม่ใช่แค่การเลือกสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ไม่ใช่แค่การเลือกนายกรัฐมนตรี แต่ส่วนหนึ่งซึ่งเป็นส่วนสำคัญ มันคือการเลือกตั้งที่จะประกาศภาวะอารมณ์และการตัดสินใจของประชาชนในประเทศนี้ ที่มีต่ออุดมการณ์การเมืองบางอย่าง
เมื่อพรรคพลังประชาชนยังคงได้เสียงข้างมากเกือบทะลุครึ่งสภา ทั้งที่ก่อนหน้านี้นายทหารระดับสูงท่านหนึ่งที่ร่วมในคณะรัฐประหารเคยออกมาปรามาสไว้ว่า พรรคการเมืองที่ถูกขับไล่ออกไปแล้ว (ด้วยวิธีการนอกรัฐสภา) มักไม่ได้กลับเข้ามาอีก...
แต่เมื่อประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้เป็นคนขับไล่ หนำซ้ำผลคะแนนยังออกมาว่าพรรคพลังประชาชนที่มีภาพลักษณ์เป็นตัวแทนอดีตพรรคไทยรักไทย ยังได้คะแนนเสียงเป็นอันดับ 1 เช่นนี้...
มันจึงคือการตบหน้าคณะรัฐประหารอย่างจัง
มันคือการประกาศว่า การรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นเรื่องที่กองทัพหักคอประชาชนเอาเอง เพราะนอกจากคนกลุ่มน้อยที่ได้รับผลประโยชน์ และแอบรวมหัวเปิดทางให้ทหารเข้ามาแล้ว...ประชาชนคนอื่นๆ ที่เหลือ เขาไม่ได้ต้องการด้วย
อย่างน้อย คนที่ไม่ต้องการทหารก็คือกว่า 20 ล้านเสียงที่กากบาทให้พรรคพลังประชาชนในครั้งนี้!
ถึงกระนั้น แม้ประชาชนส่วนมากจะเลือก และแม้คนที่ไม่ได้เลือกก็พร้อมจะยอมรับในเสียงข้างมาก...
แต่ก็ใช่ว่าพรรคพลังประชาชนจะมีโอกาสจัดตั้งรัฐบาลได้โดยง่าย...แม้ว่า “เจ้าเมืองแปร” จะแทงกั๊กมาตลอดว่ายังห่วงใยและพร้อมจะคุยกันเสมอ (ถ้าได้เสียงข้างมาก...)
นั่นเพราะว่าตัวแปรที่แท้จริงไม่ได้ขี่ม้าสีหมอก...หากแต่เป็นตัวแปรพิเศษยิ่งกว่า ที่ทั้งมืด ลึกลับ และมีพลังอำนาจมากกว่านั้นหลายเท่าตัวนัก...
เป็นอำนาจพิเศษที่พรรคอันดับ 2 อย่างประชาธิปัตย์ย่อมรู้ดีว่า ทำให้ตัวเองได้เปรียบ
เป็นอำนาจพิเศษที่หลายสำนักทั้งในและนอกประเทศต่างก็จับตามอง และไม่เคยละเลยที่จะเอ่ยถึงในกระบวนการวิเคราะห์ความเป็นไปได้ทางการเมือง
เป็นอำนาจพิเศษที่ทำให้เกิดข่าวลือกระเซ็นกระสายในช่วงหลังปิดหีบเลือกตั้งไม่กี่ชั่วโมง ว่ามีการเข้าพบผู้มากบารมี...ตามมาด้วยการดักคอกันว่า ประชาชนแสดงเจตนารมณ์แล้ว คนอื่นอย่ายุ่ง
ด้วยตัวแปรนี้ อาจทำให้เรื่องธรรมดา เช่น การที่พรรคพลังประชาชนจะจัดตั้งรัฐบาล ไม่อาจทำได้
ด้วยตัวแปรนี้ อาจทำให้พรรคที่ 2 ได้ขึ้นมาแทน และต้องผสมกับพรรคที่ 3, 4, 5 ฯลฯ จนกลายเป็นรัฐบาลผสมที่คละเคล้ามากที่สุดอีกครั้งหนึ่ง...และมีทีท่าจะเป็นรัฐบาลที่อ่อนแอมากที่สุดอีกครั้งหนึ่ง
บางที คำถามที่สำคัญกว่าอาจไม่ได้อยู่ที่ว่า พรรคพลังประชาชนจะจับขั้วกับใคร...
แต่อยู่ที่ว่า “ใคร” ได้รับการตั้งธงมาแล้วว่าจะให้ได้เป็นรัฐบาล