ผู้รู้ทางด้านเศรษฐกิจ ฟันธงว่า ปีหน้าเศรษฐกิจไทยจะถึงเวลาเผาจริงแน่นอน ทำเอาใจคอห่อเหี่ยวไปหมด ในสภาวะที่ การเมืองนำเศรษฐกิจ เช่นนี้ ต่อให้มือเศรษฐกิจชั้นเซียนแค่ไหนก็แก้ปัญหาได้ลำบาก เนื่องจากการชี้นำจะขึ้นอยู่กับปัจจัยทางการเมืองเป็นหลัก
ถ้าการเมืองนิ่ง และมีศักยภาพของความมั่นคง เศรษฐกิจก็จะได้รับความเชื่อมั่นโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าการเมืองมีแต่การต่อรองเรื่องของผลประโยชน์ ผู้นำขาดบารมี ที่จะควบคุมเสียงข้างมากได้ ปล่อยให้เป็นเรือลอยอยู่กลางทะเลไม่เห็นฝั่ง
ฟันธงได้เลยว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะเจ๊งและเน่า
เพราะฉะนั้น การเลือกตั้งครั้งนี้ เศรษฐกิจก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ จะเป็นตัวกำหนดนายกฯคนต่อไป ผมรู้มา นักธุรกิจ เขาก็กำลังมองกันอยู่ว่า เท่าที่มีตัวเลือกอยู่ในขณะนี้ ใครเหมาะสมที่สุด
เดี๋ยวนี้นักธุรกิจฉลาดขึ้นเยอะ ไม่ให้เงินสนับสนุนพรรคการ เมืองสุ่มสี่สุ่มห้าเหมือนเมื่อก่อน โดยเฉพาะการตัดสินใจลงทุน ก็จะดูถึงรายละเอียดทั้งหมดคนโน้นพรรค โน้นขึ้นมาจะเป็นอย่างไรพรรคนี้คนนี้มาจะเป็นอย่างไร
เนื่องจากเม็ดเงินลงทุนแต่ละบาทแต่ละสตางค์มีความหมายมาก ไม่ใช่บาทสองบาท แต่เป็นร้อยล้านพันล้านหมื่นล้าน เห็นท่าไม่ดีก็ต้องย้ายฐานลงทุนหนีเอาตัวรอดไว้ก่อน ยิ่งถ้าการเมืองมีโอกาสผันผวนอยู่ ตลอดเวลา อย่างดีก็อยู่เฉยเพื่อรอโอกาส ดีกว่าไปเสี่ยงโดยไม่มีจุดหมาย
ผมได้ยินนักธุรกิจเขาคุยกัน ให้เลือกระหว่างคนหนุ่มกับคนแก่ เขาให้คะแนนคนแก่มากกว่าคนหนุ่ม โดยมีเหตุผลก็คือ เรื่องของประสบการณ์ คนแก่ชนะขาด เรื่องของความมีบารมีอันนี้คนแก่ก็เอาไป เรื่องของความมีศักยภาพทั้งในพรรคและนอกพรรคพอที่จะชี้ขาดอะไรได้ อันนี้คนแก่ก็ได้เปรียบ ความเชื่อถือและการสั่งการต่อข้าราชการ คนแก่ได้คะแนนไปอีก
เรื่องของการเล่นพวกเล่นพ้อง ทุจริตคอรัปชัน ข้อนี้คะแนนสูสีกัน เมืองไทยให้ใสสะอาดแค่ไหนก็ไม่พ้นเรื่องคอรัปชัน คนหนุ่มจะได้คะแนนในเรื่องของการรับฟังปัญหา ใจเย็น สุภาพเรียบร้อย ไม่เอะอะโวยวาย มีทิฐิน้อยกว่าคนแก่ อาจจะได้เห็นสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้น และ ชนวนความขัดแย้งก็น่าจะน้อยกว่า
ข้อสำคัญความมีภาวะผู้นำสำคัญที่สุด
ถ้าเวทีนี้ยังต้องมีพี่เลี้ยง โดยเฉพาะถ้าใช้พี่เลี้ยงเยอะแยะไปหมด ขาดความเป็นตัวของตัวเองซะแล้ว ภาวะผู้นำก็หมดลงทันที ตามมาด้วยเรื่องของวิสัยทัศน์ วิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่คิดไม่ออกทำไม่เป็นก็จบ การเมืองอยู่ในช่วงโค้งอันตราย จะหลุดออกจากหลุมดำเผด็จการอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญได้หรือไม่
จะเป็นประชาธิปไตยเต็มใบหรือครึ่งเดียว
ผมยังถามย้ำอีกว่าแล้วเรื่องของการทุจริตคอรัปชันการซื้อเสียง ไม่ซื้อเสียงไม่เป็นปัจจัยวัดความซื่อสัตย์เลยหรือ เจอคำตอบถึงกับหน้าหงาย เรื่องทุจริตมีรัฐมนตรีติดคุกชัดเจนสมัยรัฐบาลไหน เมื่อเร็วๆนี้ศาลพิพากษาให้อดีต ส.ส.พรรคไหน มีความผิดฐานซื้อเสียง ก็เหมือนๆกันทั้งนั้น อึ้งกิมกี่ไปเลย.
"หมัดเหล็ก"--จบ--
ถ้าการเมืองนิ่ง และมีศักยภาพของความมั่นคง เศรษฐกิจก็จะได้รับความเชื่อมั่นโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าการเมืองมีแต่การต่อรองเรื่องของผลประโยชน์ ผู้นำขาดบารมี ที่จะควบคุมเสียงข้างมากได้ ปล่อยให้เป็นเรือลอยอยู่กลางทะเลไม่เห็นฝั่ง
ฟันธงได้เลยว่าเศรษฐกิจปีหน้าจะเจ๊งและเน่า
เพราะฉะนั้น การเลือกตั้งครั้งนี้ เศรษฐกิจก็เป็นปัจจัยหนึ่งที่ จะเป็นตัวกำหนดนายกฯคนต่อไป ผมรู้มา นักธุรกิจ เขาก็กำลังมองกันอยู่ว่า เท่าที่มีตัวเลือกอยู่ในขณะนี้ ใครเหมาะสมที่สุด
เดี๋ยวนี้นักธุรกิจฉลาดขึ้นเยอะ ไม่ให้เงินสนับสนุนพรรคการ เมืองสุ่มสี่สุ่มห้าเหมือนเมื่อก่อน โดยเฉพาะการตัดสินใจลงทุน ก็จะดูถึงรายละเอียดทั้งหมดคนโน้นพรรค โน้นขึ้นมาจะเป็นอย่างไรพรรคนี้คนนี้มาจะเป็นอย่างไร
เนื่องจากเม็ดเงินลงทุนแต่ละบาทแต่ละสตางค์มีความหมายมาก ไม่ใช่บาทสองบาท แต่เป็นร้อยล้านพันล้านหมื่นล้าน เห็นท่าไม่ดีก็ต้องย้ายฐานลงทุนหนีเอาตัวรอดไว้ก่อน ยิ่งถ้าการเมืองมีโอกาสผันผวนอยู่ ตลอดเวลา อย่างดีก็อยู่เฉยเพื่อรอโอกาส ดีกว่าไปเสี่ยงโดยไม่มีจุดหมาย
ผมได้ยินนักธุรกิจเขาคุยกัน ให้เลือกระหว่างคนหนุ่มกับคนแก่ เขาให้คะแนนคนแก่มากกว่าคนหนุ่ม โดยมีเหตุผลก็คือ เรื่องของประสบการณ์ คนแก่ชนะขาด เรื่องของความมีบารมีอันนี้คนแก่ก็เอาไป เรื่องของความมีศักยภาพทั้งในพรรคและนอกพรรคพอที่จะชี้ขาดอะไรได้ อันนี้คนแก่ก็ได้เปรียบ ความเชื่อถือและการสั่งการต่อข้าราชการ คนแก่ได้คะแนนไปอีก
เรื่องของการเล่นพวกเล่นพ้อง ทุจริตคอรัปชัน ข้อนี้คะแนนสูสีกัน เมืองไทยให้ใสสะอาดแค่ไหนก็ไม่พ้นเรื่องคอรัปชัน คนหนุ่มจะได้คะแนนในเรื่องของการรับฟังปัญหา ใจเย็น สุภาพเรียบร้อย ไม่เอะอะโวยวาย มีทิฐิน้อยกว่าคนแก่ อาจจะได้เห็นสิ่งใหม่ๆเกิดขึ้น และ ชนวนความขัดแย้งก็น่าจะน้อยกว่า
ข้อสำคัญความมีภาวะผู้นำสำคัญที่สุด
ถ้าเวทีนี้ยังต้องมีพี่เลี้ยง โดยเฉพาะถ้าใช้พี่เลี้ยงเยอะแยะไปหมด ขาดความเป็นตัวของตัวเองซะแล้ว ภาวะผู้นำก็หมดลงทันที ตามมาด้วยเรื่องของวิสัยทัศน์ วิพากษ์วิจารณ์ได้ แต่คิดไม่ออกทำไม่เป็นก็จบ การเมืองอยู่ในช่วงโค้งอันตราย จะหลุดออกจากหลุมดำเผด็จการอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญได้หรือไม่
จะเป็นประชาธิปไตยเต็มใบหรือครึ่งเดียว
ผมยังถามย้ำอีกว่าแล้วเรื่องของการทุจริตคอรัปชันการซื้อเสียง ไม่ซื้อเสียงไม่เป็นปัจจัยวัดความซื่อสัตย์เลยหรือ เจอคำตอบถึงกับหน้าหงาย เรื่องทุจริตมีรัฐมนตรีติดคุกชัดเจนสมัยรัฐบาลไหน เมื่อเร็วๆนี้ศาลพิพากษาให้อดีต ส.ส.พรรคไหน มีความผิดฐานซื้อเสียง ก็เหมือนๆกันทั้งนั้น อึ้งกิมกี่ไปเลย.
"หมัดเหล็ก"--จบ--
////////////////////////////
คอลัมน์:คาบลูกคาบดอก