เมื่อวันที่ 1 มิถุนายน ที่ผ่านมา นับเป็นการประชุมกันนัดแรกของสภาประชาชน หลังคณะกรรมการประชาชนเพื่อการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 (คปพร.) ได้ประกาศเจตนารมณ์จัดตั้งสภาประชาชนขึ้นเพื่อรับฟังความคิดเห็นในวงกว้างอย่างเป็นรูปธรรม ต่อรายละเอียดที่เห็นควรให้มีการแก้ไขเนื้อหาในรัฐธรรมนูญ 2550 ที่ได้รณรงค์มาแล้วระยะหนึ่ง
พร้อมกับได้จัดทำร่างการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ด้วยจำนวนรายชื่อประชาชน 150,000 รายชื่อ ยื่นต่อสภาผู้แทนราษฎรไปแล้วด้วยก่อนหน้านี้
ซึ่งบรรยากาศของสภาประชาชน ที่ห้องประชุมคุรุสภา เป็นไปอย่างคึกคัก โดยมีประชาชนผู้สนใจทยอยเดินทางเข้าร่วมอย่างต่อเนื่อง จนเต็มห้องประชุมที่บรรจุได้กว่า 1 พันคน
โดยเวทีสภาประชาชนในวันแรกนี้ กำหนดหัวข้อไว้คือ “ทำไมต้องแก้รัฐธรรมนูญ ทำไมต้องเอารัฐธรรมนูญ 50 คืนไป 40 คืนมา” และคงมีแกนนำ คปพร.เข้าร่วมคับคั่งเช่นเคย อาทิ ดร.จรัล ดิษฐาอภิชัย ประธาน คปพร. นพ.เหวง โตจิราการ แกนนำ คปพร. นางประทีป อึ้งทรงธรรม ฮาตะ ประธานสมาพันธ์ประชาธิปไตย ดร.เมธาพันธ์ โพธิธีรโรจน์ ประธานแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ 2 (นปก.) นายสุรชัย ด่านวัฒนานุสรณ์ ประธานสภาสนามหลวงต่อต้านเผด็จการ และ นายสมยศ พฤษาเกษมสุข แกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาประชาธิปไตย ฯลฯ
นอกจากนี้ ยังมีแขกรับเชิญเป็นผู้มีชื่อเสียง ผู้ทรงคุณวุฒิ และนักวิชาการ คนดังอีกมากมายเข้าร่วมด้วย อาทิ นายสุพจน์ ด่านตระกูล สื่อมวลชนซึ่งได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานกิตติมศักดิ์ นายคณิน บุญสุวรรณ อดีตสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) 2540 ศ.เกียรติคุณ นพ.สันต์ หัตถีรัตน์ ที่ปรึกษาสมาพันธ์ประชาธิปไตย และ นายสุปรีดา พนมยงค์ บุตรชายอดีตนายกรัฐมนตรีและรัฐบุรุษ นายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งที่ประชุมมีมติให้เป็นประธานสภาประชาชน ร่วมกับ นพ.เหวง และ ดร.ประภัสสร อินทรกำแหง นักวิชาการ
นายสุพจน์ ผู้ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นประธานกิตติมศักดิ์ กล่าวเปิดงานว่า การเมืองไทยทุกวันนี้เมื่อเทียบกับในอดีตเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน 2475 ที่มีความพยายามบิดเบือนหน้าประวัติศาตร์ของคณะราษฎร เพราะก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครอง สังคมมีความขัดแย้งกันอย่างรุนแรงระหว่างผู้ปกครองและผู้ถูกปกครอง ขณะที่ความขัดแย้งอีกรูปแบบหนึ่งคือ ผู้ปกครองกับผู้ปกครองขัดแย้งกันเอง ขัดแย้งกันระหว่างผลประโยชน์ เช่น พรรคฝ่ายค้านกับฝ่ายรัฐบาล นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงการปกครอง เศรษฐกิจและสังคม
ในปี 2475 เมื่อความขัดแย้งระหว่างผู้ปกครองกับผู้ปกครองระเบิด จึงได้มีการเข้ายึดอำนาจเปลี่ยนการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์เป็นระบอบประชาธิปไตย รัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทยประกาศใช้เมื่อวันที่ 27 มิถุนายน 2475 เป็นฉบับสัญญาประชาคม ระบุไว้ว่า อำนาจสูงสุดเป็นของประชาชน
ขณะที่ ศ.เกียรติคุณ นพ.สันต์ ระบุว่า การต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยทำให้ประชาชนมีสิทธิในการวิพากษ์วิจารณ์การบ้านการเมือง ประชาชนตื่นตัวกับการเมืองมากขึ้น เพราะกระแสการเมืองไทยในวันนี้มีความสับสนวุ่นวายมาก ดังนั้น จึงต้องมีสภาประชาชนขึ้นมาเพื่อแสดงความเห็นร่วมกัน เพื่อนำเสนอต่อผู้นำเพื่อให้มีการแก้ไขต่อไป ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญจะทำให้รัฐบาลสามารถทำงานได้อย่างสะดวกขึ้น ประชาชนจึงจำเป็นต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อให้ประเทศเกิดความก้าวหน้าทางการปกครอง และความสงบในชาติ ซึ่งเปิดสภาประชาชนขึ้นก็เพื่อดำเนินการให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตย
ด้านนายจรัล ประธาน คปพร. กล่าวว่า ประชาชนตื่นตัวต่อการเมืองมากขึ้น แม้จะมีเหตุการณ์ที่ต้องตื่นตระหนก แต่ประชาชนก็มารวมตัวกันเพื่อแสดงความคิดเห็นในสภาประชาชนแห่งนี้ อันจะเป็นความหมายมากในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 และต่อจิตใจผู้รักประชาธิปไตยทุกคน โดยการเคลื่อนไหวในครั้งนี้ยากเย็นกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพียงแค่เริ่มต้นญัตติแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ตกไปแล้ว แต่รัฐธรรมนูญฉบับประชาชนยังอยู่ในสภาและยังดำเนินการต่อไป
นอกจากนี้ นายจรัล ยังกล่าวเชิญชวนผู้ร่วมเสวนาเดินทางไปที่สนามหลวง เพื่อให้กำลังใจประชาชนที่ร่วมกลุ่มชุมนุมและช่วยรับมือกับสถานการณ์ที่อาจเกิดความรุนแรงขึ้นด้วย หลังเลิกประชุมสภาประชาชนในช่วงก่อนเย็น
นอกจากนี้ นางประทีป กล่าวว่า “เราเป็นเจ้าของประเทศและเรียกร้องสิทธิโดยชอบธรรมกันมาโดยตลอด ตอนนี้มีกลุ่มคนอยู่ 2 กลุ่ม คือผู้เรียกร้องอำนาจอธิปไตย และผู้เรียกร้องเผด็จการ และกลุ่มพันธมิตรฯ เองเรียกร้องไม่ให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อไม่ให้เข้าสู่กระบวนการประชาธิปไตย จึงอยากเรียกร้องให้ทุกคนเป็นพลังมวลชนขับเคลื่อนให้รัฐบาลกลับมาใช้รัฐธรรมนูญฉบับเดิม รัฐธรรมนูญฉบับ 2550 เป็นรัฐธรรมนูญที่ส่งเสริมระบอบอำมาตยาธิปไตย ทำให้คนชั้นล่างถูกรอนสิทธิ และในปีที่ผ่านมา เราได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่มีคนกลุ่มน้อยที่เรียกตัวเองว่าพันธมิตรฯ มาปิดกั้นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 ให้ไปสู่ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ เราจึงเป็นตัวแทนของประชาชนที่เสียสละมารวมตัวกัน เพื่อแสดงให้เห็นว่าเราคือเจ้าของประชาธิปไตย และต้องการรัฐธรรมนูญ 40 กลับคืนมา”
สำหรับ นายชูพงษ์ ถี่ถ้วน ผู้อำนวยการสถานีวิทยุชุมชนคนรู้ใจ ขึ้นกล่าวเปรียบเทียบรัฐธรรมนูญกับระบอบการปกครองเป็นเหงือกกับฟัน โดยระบุว่า รัฐธรรมนูญเป็นฟัน และระบอบเผด็จการเป็นเหงือก ซึ่งหากมีอาการปวดต้องเร่งรักษา หมายถึงว่ารัฐบาลได้เดินมาถูกทางคือ ต้องเร่งแก้ไขรัฐธรรมนูญ และระบอบเผด็จการ เพื่อให้ได้ความเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง พร้อมกล่าวว่า การที่กลุ่มพันธมิตรฯ เดินหน้าชุมนุมอย่างนี้เป็นการเดินลงสู่นรกภูมิ
“การเมืองวันนี้ไม่ว่ารัฐธรรมนูญจะเป็นอย่างไรก็เกิดการต่อสู้กัน เราได้รัฐบาลจากการเลือกตั้ง แต่เราไม่ได้อำนาจอย่างสมบูรณ์ จึงอยากจะถามว่าประเทศไทยปกครองด้วยระบอบอะไรกันแน่ แม้เราจะได้ประชาธิปไตยช้า แต่เราก็กำลังเดินไปสู้เป้าหมายประชาธิปไตย ไม่เหมือนพันธมิตรฯ ที่กำลังเดินสู่นรก”
ขณะที่ด้านนักวิชาการ ดร.ประภัสสร กล่าวว่า ขณะนี้มีนักวิชาการที่เป็นพลังเงียบในการสนับสนุนให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญอยู่จำนวนมาก โดยพร้อมเดินหน้าร่วมแสดงความคิดเห็นหากมีฝ่ายใดต้องการ นอกจากนี้ การที่กลุ่มพันธมิตรฯ เดินหน้าชุมนุมทำให้นักวิชาการสะเทือนใจ เพราะพันธมิตรฯ ต้องการล้มล้างรัฐบาล กลุ่มพันธมิตรฯ เป็นภัย เป็นพวกมาร ที่ปลุกระดมความคิดคนอื่น กะล่อนด้วยการพยายามทำให้คนอื่นเชื่อ ซึ่งผลเสียหายที่เกิดขึ้นคือ ต่างประเทศชะลอการลุงทุนในประเทศไทย เพราะสถานการณ์บ้านเมืองไม่สงบ
ด้าน ดร.เมธาพันธ์ กล่าวว่า ภารกิจของพวกเราในวันนี้คือ นำรัฐธรรมนูญ 2550 คืนไป เพราะไม่เอื้อต่อระบอบประชาธิปไตย ทำลายความเสมอภาคของประชาชน ให้อำนาจตุลาการมากกว่าอำนาจบริหารและนิติบัญญัติ เขียนขึ้นมาเพื่อทำลายศักดิ์ศรีของประชาชน และเพื่อสนับสนุนพรรคการเมืองบางกลุ่ม พร้อมทำลายนักการเมืองบางพรรค พร้อมระบุ หากกลุ่มพันธมิตรฯ ยังคงเดินหน้าเคลื่อนไหว เพราะไม่พอใจการได้มาของพรรคพลังประชาชน และทำตัวเหมือนเป็นเจ้าของประเทศต่อไป คงไม่ยอมอย่างแน่นอน
ด้าน นายสุวิทย์ ประยูรศักดิ์ จากสหภาพแรงงานองค์การค้าคุรุสภา กล่าวว่า รัฐธรรมนูญของประชาชนจะต้องชนะเผด็จการแน่นอน พร้อมชี้ทางประชาชนอย่าตกใจกลัวกับคำกล่าวของพันธมิตรฯ เพราะเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่มีเหตุผลเพื่อโค่นล้มรัฐบาล นอกจากนี้ การต่อสู้กับระบบทุนล้าหลัง อยู่ในเงื่อนไข 3 ประการ ปัจจุบันสังคมโลกเป็นสังคมทุนนิยม สังคมไทยก็เช่นกัน พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นำระบบทุนนิยมมาใช้ ทำให้ประชาชนได้ลืมตาอ้าปาก ประโยชน์ตกอยู่กับพี่น้องคนไทยทุกคน อย่างนี้ก็แสดงว่าระบบทุนนิยมชนะระบบทุนล้าหลัง
อย่างไรก็ตาม ในการประชุมสภาประชาชนครั้งต่อไปจะเป็นการเดินสายตามพื้นที่ต่างจังหวัด เพื่อขยายแนวความคิด และหาแนวทางในการแก้ไขรัฐะรรมนุญร่วมกัน โดยจะจัดขึ้นในวันที่ 8 มิถุนายน ที่ จ.ระยอง วันที่ 10 มิถุนายน ที่ จ.ขอนแก่น และวันที่ 15 มิถุนายน ที่หอประชุมคุรุสภา เขตดุสิต