ที่มา ประชาทรรศน์
คอลัมน์ : บทความประชาทรรศน์
โดย วาทตะวัน สุพรรณเภษัช
วันทำงานส่งท้ายปีเก่า ได้เห็นภาพ นายมาร์ค มุกควาย กับ ส.ส.ร่วมก๊วน ถูกผู้ดูแลคอก เจ้าของบทหนังตะลุง เรื่อง “พรรคซ่อนชู้” ไล่ต้อนขึ้นรถตู้ของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่เคยใช้ขนผู้ต้องหามาแล้ว ต้องเอามาบรรทุกเหล่าผู้แทนฯ ไปประชุมกันนอกสภา แล้วดันเรียกว่าเป็นการประชุม “รัฐสภา” ดูน่าขำปนสังเวช
คราวหน้าลองไปประชุมที่ “ซาติก้า ผับ” บ้าง ก็คงจะดี!?!
นักข่าวบอกว่า ส.ส. พรรคดักดาน นั่งหน้าเครียดราวกับถูกบังคับให้ดมขี้ เบียดเสียดเยียดยัด แออัดเหมือนหมูในกระชุบนรถหกล้อ ตอนเขาเอาไปโรงฆ่า!
ดูแล้วไม่เป็นมงคลเลย!!
ส่วนภาพของคนเสื้อแดงนั้น แม้จะถูกปิดกั้นโดยสื่อไทยที่เอาใจรัฐบาล แต่ก็แพร่กระจายทั้งในเว็บไซต์ต่างๆ รวมทั้งภาพจากสำนักข่าวต่างประเทศ ซึ่งโปสเตอร์เขียนข้อความประท้วง ฟ้องชาวโลกอย่างชัดเจน จนทำให้รัฐบาลไทยชุดใหม่ต้องอับอาย เพราะกลายเป็นแค่ตลกต่ำชั้นในสายตาของต่างชาติไป และแม้โปสเตอร์ส่วนใหญ่เป็นภาษาปะกิต แต่อันที่ได้ใจหลายๆ คน กลับเป็นป้ายที่เขียนภาษาไทยว่า
“หนีทหารได้เป็นนายกฯ...กบฏได้เป็นรัฐมนตรี!!!”
เว็บไซต์หนังสือพิมพ์มติชนได้รายงานข่าวชัดเจนว่า รถขน ส.ส. ไปจอดรอเวลาใช้คาถากำบังตนคอยกันหน้าแฟลตทหารบก ปรากฏเหตุการณ์ที่ซ้ำเติมความรู้สึกผู้คนเข้าไปอีก เพราะนายทหารที่อาศัยอยู่ในแฟลตนายหนึ่ง เอาเสื้อ “ทักษิณสู้ๆ” มาแขวนให้เห็น แล้วด่ากระทบพวกผู้แทนของพรรคดักดานว่า
“พวกกูไม่ชอบ ไอ้พวกผู้ก่อการร้าย (โว้ย)!”
ตรงนี้น่าจะเป็นเครื่องเตือนใจว่า ทั้งประชาชนส่วนใหญ่ของบ้านเมืองนี้ ทหาร และตำรวจต่างเห็นว่า
พรรคประชาธิปัตย์นั้นแท้จริงแล้วเป็น “เนื้อเดียวกัน” กับไอ้พวกกบฏก่อการร้ายที่ทำลายชาติบ้านเมืองของเราจนย่อยยับ เพื่อเปิดทางให้ นายมาร์ค มุกควาย กับพรรคที่ถูกมองว่าเป็นแนวร่วมก่อการร้ายนั้นได้เล็ดลอดเข้ามาเป็นรัฐบาลได้
พอมีโอกาสก็ตั้งหน้าตั้งตาลอกนโยบายของทักษิณ ซึ่งตัวเคยดูถูกเอาไว้ว่า...
ตัวเองนั้นจบอ๊อกซฟอร์ด แต่ทักษิณเป็นแค่นักเรียนมงฟอร์ด แต่ในที่สุดนักศึกษาอ๊อกซฟอร์ด กลับต้องนั่งลอกตำราจากนักเรียนมงฟอร์ด!!!
การลอกนโยบายอย่างนี้ พรรคดักดานไม่ได้ประโยชน์ มีแต่เสีย และเพิ่มเครดิตให้ทักษิณว่า นโยบายของอดีตนายกฯ นั้น ถูกต้องโดยปราศจากข้อสงสัย จนเป็นเหตุให้ นายมาร์ค มุกควาย ต้องยึดเป็น “ต้นแบบ” ในการบริหารราชการงานแผ่นดินต่อไป
คุรุกรรมที่พรรคดักดานร่วมกับฝ่ายกบฏก่อการร้ายสร้างไว้ในบ้านเมืองนี้ นอกจากได้สร้างความทรุดโทรมเสื่อมเสีย ให้กับสถาบันต่างๆ ของชาติอย่างรวดเร็ว จนยากที่จะแก้ไขเยียวยาได้แล้ว พรรคดักดานและขาดกึ๋น ยังบังอาจปูนบำเหน็จให้คนของฝ่ายกบฏผู้ก่อการร้ายมานั่งในตำแหน่งสำคัญ ซึ่งเป็นหน้าตาของประเทศ เหมือนเยาะเย้ยคนในชาติให้ขัดเคืองนัก
ยิ่งทำให้การขึ้นนั่งตำแหน่งนายกฯ ของผู้นำพรรคโลซก ดูตกต่ำยำหมา...หนักข้อขึ้นไปอีก!
ที่ร้ายกาจไปกว่านั้น พฤติกรรมของพรรคนายมุกควายได้สั่งสมความคั่งแค้นให้กับชาวบ้านผู้ได้รับความเสียหาย จากการกระทำของกบฏก่อการร้าย ซึ่งเห็นว่าพวกตนถูกรังแกและทอดทิ้ง ถูกบีบให้มารวมกัน กลายเป็นพลังทางการเมืองภาคประชาชนที่แข็งแกร่ง และอาจนำมาซึ่งเหตุการณ์ร้ายแรง แบบพลิกฟ้าคว่ำแผ่นดินกันได้ทีเดียว
ต่อไปนี้คงยากที่จะหาความสงบ...ในสยามประเทศได้อีกแล้ว!
ในฐานะคนสูงวัยอย่างผู้เขียน ได้แต่จับตามองด้วยความห่วงใย เพราะความสงสารประเทศ ที่จะต้องเปลี่ยนแปลงไปอย่างใหญ่หลวง และนำมาซึ่ง ความทุกข์อันไม่จำกัดขนาด ให้กับลูกหลานของเรา
คอยดูกันไป ก็แล้วกัน!!!
ขอพักเรื่องการเมืองเอาไว้แค่นี้ก่อน เพราะวันนี้เรื่องที่รบกวนใจผมตลอดมา ระหว่างที่มีวันหยุดยาวในระหว่างเทศกาลสำคัญ ก็คืออุบัติเหตุที่คร่าชีวิตผู้คนและทรัพย์สินไปอย่างมากมาย
แม้อุบัติเหตุที่ได้รับจะทำให้ผู้เคราะห์ร้ายไม่ถึงตาย แต่พิการหรือทุพพลภาพ จนประกอบกิจการไม่ได้ตามปกติ ก็ทำให้แต่ละครอบครัวที่โชคร้าย มีภาระในการดูแลรักษาพยาบาลลูกหลานหรือคนในบ้านไปอีกยาวนาน สร้างความเครียดและความย่ำแย่ทางเศรษฐกิจให้แก่ครอบครัวเหล่านั้น สาเหตุสำคัญ คือการไม่รักษาวินัยจราจร การไม่เคารพกฎหมาย รวมทั้งการฝ่าฝืน ผนวกด้วยความประมาท
เรื่องการเคารพกฎหมายกับคนไทยนั้น ยังเป็นจุดด้อยอยู่มาก !
เมื่อรถวิ่งพบสัญญาณไฟแดง คนขับรถเมืองอังกฤษที่เป็นถิ่นประชาธิปไตยต้นแบบส่วนใหญ่จะหยุดทันที แต่คนไทยจำนวนไม่น้อยนั้นจะเหลียวมองซ้ายมองขวาดูว่า...หัวปิงปองอยู่หรือเปล่าวะ !
ถ้าไม่เห็นตำรวจยืนอยู่ ก็จะขับรถกระชากออกไปทันทีแบบ...“กูไปแหล่ว !”
สะพานลอยมีให้ข้าม คนไทยไม่ข้ามให้เสียเวลา มองดูเห็นรถน้อย ก็วิ่งข้ามถนนปรู๊ด กระโดดข้ามรั้วกั้นไปฝั่งตรงข้ามไป..เฉยเลย!
แดงขาวที่บาทวิถี เป็นที่ห้ามจอด ก็ไม่มีตำรวจนี่หว่าจอดมันเลย!
ประชาธิปไตยที่ไปเอาเขามา แต่จิตใจของเขาเราไม่ได้รับมาด้วย!!
ท่านอาจารย์ ม.ร.ว.คึกฤทธิ์ ปราโมช เคยปรารภว่า เมืองไทยนั้น ต่อให้ตำรวจอังกฤษ ชาติที่เราไปลอกประชาธิปไตยเขามา คนในยุโรปบอกว่าเป็นหน่วยตำรวจที่มีคุณภาพมาก ถ้าให้มาเป็นตำรวจในเมืองไทย ท่านอาจารย์ว่าต้องลาออกแน่ๆ เพราะคงทนคนไทยไม่ได้
หมายความว่า ทนเห็นสภาพผู้คนไม่เคารพกฎหมายไม่ได้นั่นเอง ไม่ใช่เพราะเหตุอื่นเลย!
การปลูกจิตสำนึกให้คนรู้อีกหน้าที่นั้น เดิมมีหนังสือหน้าที่พลเมืองศีลธรรมให้เรียนกัน แต่เดี๋ยวนี้ไม่มี เลยไม่รู้ว่าเป็นเพราะเหตุนี้หรือเปล่า ที่ดูเหมือนว่าความเคารพในกฎหมายบ้านเมืองของผู้คนจะลดน้อยถอยลง
เรื่องความเคารพในกฎหมายนั้น เคยเล่าเรื่องของ Sir Francis Knollys แม่ทัพใหญ่อังกฤษ เจ้าของฉายา “ยมบาล” ให้ท่านผู้อ่านประชาทรรศน์ฟังกันแล้วว่า
แม้เทศบาลนครลอนดอนจะเอาโทษกับภริยาของท่าน ที่ปฏิบัติผิดกฎหมายบ้านเมืองด้วยการสร้างสะพานลอยข้ามถนนเล็กๆ ไปยังที่ดินฝั่งตรงข้ามของตัวเอง ซึ่งผิดกฎหมายเทศบาล ท่านเซอร์แม่ทัพนักรบผู้ปราบฝรั่งเศสคนนี้ แม้จะมีอำนาจราชศักดิ์ ก็ไม่เบ่งวางก้าม หรือข่มขู่รัฐบาลอังกฤษ...
ไม่เหมือนทหารไทยทำกับรัฐบาลของพวกเขา จนคนด่ากันทั้งประเทศ!
เซอร์ฟรานซิส นอลลีส์ แม่ทัพใหญ่กลับยอมรับโทษแต่โดยดี ทำให้ได้ใจคณะเทศมนตรี ยอมผ่อนผันโทษให้เหลือเป็นโทษปรับ แต่ท่านแม่ทัพต้องห่มเกราะถือทวน ตามด้วยขบวนแห่ใหญ่โต นำกุหลาบ 1 ดอก ไปชำระเป็นค่าปรับที่เทศบาลเอง
แม้ท่านเซอร์ทหารนักรบผู้เคารพกฎหมายจะวายชนม์ไปนานแล้ว แต่ประเพณีแห่ดอกกุหลาบยังสืบทอดกันมาจนทุกวันนี้ เพื่อแสดงความระลึกถึงแม่ทัพใหญ่ผู้เคารพกฎหมายเยี่ยงสามัญชน และมีความเป็นสุภาพบุรุษอย่างสมบูรณ์แบบ
ในแผ่นดินไทยของเรานั้น ก็หาใช่ว่าจะไร้ซึ่งสุภาพบุรุษผู้ที่รักชาติ รักบ้านเมือง แผ่นดินถิ่นเกิด และมีความเคารพกฎหมายอย่างเคร่งครัด เช่นเดียวกับท่าน เซอร์ฟรานซิส นอลลีส์ ขอยกตัวอย่างให้เห็นกันชัดๆ สักราย...
หนุ่มนักกฎหมายนายหนึ่ง มาจากตระกูลที่มั่งคั่งของประเทศ เมื่อเรียนจบเนติบัณฑิตจากอังกฤษกลับมาถึงเมืองไทย ก็เข้ารับหมายเกณฑ์ด้วยความเต็มใจ เป็นพลทหารประจำการตามหน้าที่ของลูกผู้ชายชาวไทย โดยมิได้หลบเลี่ยง หรือให้บิดามารดาของท่านวิ่งเต้นเสียเงินให้กับสัสดี อย่างลูกอาเสี่ยและลูกผู้ดีมีอันจะกินทั้งหลายชอบทำ จนบางปีเป็นข่าวการเกณฑ์ทหารอื้อฉาว เพราะมีการจับกุมสัสดีที่รับสินบนกัน
เนติบัณฑิตหนุ่มจากอังกฤษได้เข้าประจำอยู่ที่หน่วยทหารม้ายานเกราะ เป็นพลทหารเกณฑ์ ใช้ชีวิตในการฝึกและกินอยู่ ร่วมกับบรรดาเพื่อนทหารใหม่ผลัดเดียวกันที่มาจากครอบครัวยากจน ความรู้น้อย แต่หนุ่มผู้มีการศึกษาดีก็ปฏิบัติหน้าที่ในฐานะทหารเกณฑ์ธรรมดา ไม่เรียกร้องอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอันใดเลย
เมื่อนายทหารผู้บังคับบัญชาทราบว่า ท่านจบเนติบัณฑิตจากอังกฤษ หน่วยทหารจึงให้ไปทำหน้าที่ครูสอนภาษาอังกฤษให้กับบรรดานายทหาร เวลาท่านเข้าสอน นายทหารก็ให้เกียรติทำความเคารพท่านในฐานะครู ซึ่งท่านก็เคารพตอบ แต่นอกเวลาสอน ท่านก็ปฏิบัติตนเหมือนทหารใหม่ โดยทำความเคารพนายทหารก่อน และรักษาระเบียบวินัย เช่นทหารที่ดีพึงกระทำ
นักกฎหมายหนุ่มจากอังกฤษรับราชการทหารอยู่เกือบปี กระทรวงยุติธรรมจึงเรียกเข้ารับราชการในตำแหน่งผู้ช่วยผู้พิพากษา ตลอดเวลารับราชการ ได้ปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริต ไต่เต้ามาตามลำดับ ในตำแหน่งตุลาการศาลต่างๆ จนเลื่อนเป็นผู้พิพากษาในศาลสูง
แล้ววันหนึ่ง โชคชะตาฟ้าบันดาล ให้ท่านต้องเข้ารับตำแหน่งนายกรัฐมนตรีของสยามประเทศ!
เมื่อพ้นตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ท่านก็ได้รับพระมหากรุณาธิคุณโปรดเกล้าฯ ให้ดำรงตำแหน่งอันสูงส่งและมีเกียรติยศยิ่ง ในตำแหน่ง...
องคมนตรี!
หลังจากรับตำแหน่งอันมีเกียรติยิ่ง ท่านขายที่ดินส่วนตัวเป็นจำนวนเงินหลักร้อยล้านบาท ในสมัยนั้นนับเป็นเงินมหาศาล มีผู้แนะนำให้ท่านแจ้งราคาที่ดินต่ำกว่าราคาที่ซื้อขายกัน คือ แจ้งราคาขายไปตามราคาประเมินของกรมที่ดิน เฉกเช่นเดียวกับที่ผู้คนเขาทำกันในการซื้อขายที่ดิน จนเป็นเรื่องปกติธรรมดา ซึ่งการกระทำเช่นนั้น ท่านจะเสียค่าธรรมเนียมโอนและภาษีเงินได้ถูกลงอีกหลายล้านบาท
นั่นหมายความว่า ท่านก็จะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกหลายล้านบาทเช่นกัน แต่ท่านไม่ทำและปฏิเสธคำแนะนำเช่นว่านั้น เพราะท่านเคารพต่อกฎหมาย และตระหนักในหน้าที่ของราษฎร ซึ่งจะต้องเสียภาษีให้กับรัฐเมื่อตนมีรายได้...
และเสียภาษีโดยถูกต้อง ครบถ้วนด้วย !
“รามสูร” คอลัมนิสต์ชื่อดังผู้ล่วงลับไปนานแล้ว เขียนลงในหนังสือพิมพ์ไทยรัฐ บอกผู้คนในบ้านในเมืองนี้ให้รู้กันทั่ว ซึ่งพากันสรรเสริญ แต่เมื่อเวลาเนิ่นนานผ่านไป อาจทำให้ผู้คนลืมเลือน เพราะคนไทยเราส่วนใหญ่ลืมง่าย ทั้งเรื่องดีและไม่ดี คนรุ่นหลังเลยพลอยไม่รู้เรื่องไปด้วย ยิ่งไม่มีการบันทึกไว้ ก็จะหายไปกับสายลมและแสงแดด
วันนี้จึงขอนำเรื่องดีๆ อย่างนี้มาเล่าสู่อนุชนคนรุ่นหลังได้ฟัง จะได้เอาไว้สอนลูกหลานในวันข้างหน้า เพื่อเป็นเครื่องยืนยันกับเขาเหล่านั้นว่า
บ้านเมืองของเรา ก็ยังมีสุภาพบุรุษไทยของแท้ให้เห็นกัน!
สุภาพบุรุษแห่งไทยแลนด์แดนสยามท่านนี้ เป็นผู้ที่ผมยกมือไหว้ได้ ด้วยความเคารพนับถืออย่างเต็มหัวใจ...ท่านผู้นี้ คือ
ฯพณฯ ธานินทร์ กรัยวิเชียร...องคมนตรี !
อดีตนายกรัฐมนตรี ทหารม้า ชายชาตรีชาติอาชาไนย สุภาพบุรุษไทย...ของแท้ !!!
ท่านผู้อ่านที่เคารพครับ
ผมอ่านต้นฉบับนี้ให้เพื่อนฝูงฟัง มีคนหนึ่งพูดขึ้นลอยๆว่า “...แล้วไอ้ที่มันหนีทหารล่ะ ทำไมมันได้เป็นนายกฯ”
ตอบไม่ทัน เพราะเพื่อนอีกคนหนึ่งชิงตอบไปก่อนว่า
“ก็... ‘ที่นี่ประเทศไทย’ นี่หว่า” !!!?
ตอบแค่นั้นก็คงพอได้ แต่อยากจะเพิ่มเติมให้อีกว่า
คนที่เป็นสุภาพบุรุษนั้น แท้ที่จริงแล้วมันอยู่ในหัวใจหรือกมลสันดาน มากกว่าการศึกษาอบรมด้วยซ้ำไป อย่างที่ฝรั่งเขาว่า...
Gentleman are born, not made!
พวกที่เกิดมามี “อภิสิทธิ์” ได้รับการศึกษาอบรมมากกว่าคนอื่น แต่หากในหัวใจไม่เป็นลูกผู้ชาย ก็คงเป็นได้แค่ทองชุบหนาหน่อย เพียงโดนขูดเข้าไปนิดเดียวก็เห็นเนื้อแท้แล้ว และรู้ว่ามันเป็นแค่ “กะไหล่” เท่านั้น หาใช่ทองร้อยเปอร์เซ็นต์แต่อย่างใดไม่
ในฐานะพลเมืองผู้รักชาติ คนที่เป็นเจนเทิลแมน หรือสุภาพบุรุษนั้น ไม่มีวันที่จะหลีกเลี่ยง ภาระหน้าที่ของลูกผู้ชายชาติไทยเด็ดขาด
ใจคนที่ยิ่งใหญ่นั้น...มัน ‘เลียนแบบ’ กันยาก!
แม้แต่กะเทยไทยใจกล้า เมื่อถึงวันคัดเลือกทหารก็ยังนวยนาดไปปรากฏกายให้เห็นกันมากมาย โดยพวกหล่อนไม่ได้หลีกเลี่ยงการทำหน้าที่คนไทยแต่อย่างใด!
สำหรับไอ้คนที่หนีทหาร จะทำไปเพราะมีความกล้าหาญน้อยกว่าบรรดาเหล่า
กะเทย หรือทำไปเพราะคิดว่าตัวนั้นเป็นชนชั้น "อภิสิทธิ์" จะลัดขั้น ลัดคิว อย่างไรก็ได้ เพราะไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องอยู่ในกฎในเกณฑ์อย่าง “ชนชั้นล่าง” แล้วอย่างนี้จะให้ผู้คนในชาติวางใจ “ฝากผี ฝากไข้” กับไอ้คนพรรค์นั้นได้หรือครับ!?!
เชื่อว่าคนไทยจำนวนมาก รวมทั้งผม คงไม่เอาด้วย เพราะแบบนี้มันเข้าตำรา...
“ฝากผีก็ไม่ได้...ฝากไข้ก็ตายห่า” ...กันพอดี!!!