WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, November 16, 2009

เผชิญหน้ากัน มีแต่เจ๊งกับเจ๊ง (แต่) สร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน มีแต่รวยกับรวย

ที่มา Thai E-News




ฮิตเลอร์ชักภาพเป็นที่ระลึกในวันที่เหยียบมหานครปารีส หลังกองทหารเยอรมันรุกรานเข้ายึดครองฝรั่งเศสและบีบให้ต้องยอมจำนนในช่วงสงครามโลกครั้งที่2 ทั้งกระทำย่ำยีเกียรติยศ และทารุณกรรมต่อชาวฝรั่งเศสคณานับ แต่วันนี้ผู้นำของ2ประเทศเลือกที่จะร่วมมือกัน ไม่ใช่เผชิญหน้า


โดย อัมมายน์
16 พฤศจิกายน 2552

ตั้งใจแปลงข้อความในสุนทรพจน์ของนางอันเกล่า แมร์เคล นายกรัฐมนตรีหญิงเยอรมันสอง สมัยที่กล่าวตอบประธานาธิบดีซาโคซี่แห่งฝรั่งเศส ที่ประตูชัยอาร์คเดอทริโอมฟ์ (Arc der Triomphe) ในกรุงปารีส บนถนนชองเซลิเซ่ (Champs-Elysees) เมื่อวันที่ 11 พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

ในโอกาสรำลึกถึงเหตุการณ์สิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่หนึ่งเสียอย่างงั้นแหละ เพื่อให้คน ไทยผู้รักชาติได้นำประสบการณ์ของสองประเทศนี้ ไปเทีียบเคียงกับสถานการณ์ ตึงเครียดระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลกัมพูชาได้ง่ายและเป็นรูปธรรมขึ้นหน่อย

ส่วนข้อความ จริงที่นายกหญิงสองสมัยกล่าวก็คือ “Ein Gegeneinander kennt nur Verlierer, ein Miteinander nur Gewinner“ ซึ่งแปลตามตัวตรงๆ ก็ได้ว่า "การเผชิญหน้าขัดแย้งกัน มีแต่ผู้แพ้ แต่การร่วมมือกัน มีแต่ผู้ชนะ“(1)

นับตั้งแต่ต้นเดือนพฤศจิกายนเรื่อยมา ที่ประเทศเยอรมนีและในยุโรปมีเหตุการณ์ต่างๆ เกิดขึ้น ที่มีความสำคัญแก่คนในประเทศเยอรมนีและคนยุโรปอย่างยิ่ง ที่แสดงให้เห็นว่าชาวยุโรปเห็นความสำคัญของการรวมตัวกันอย่างยิ่งยวด ถึงกับยอมสละอำนาจอธิปไตยส่วนหนึ่งของรัฐบาลภายในประเทศ เพื่อองค์การความร่วมมือในภูมิภาค เพื่อความเจริญรุ่งเรืองทางเศรษฐกิจร่วมกัน

และผลพลอยได้อันสำคัญยิ่งก็คือ การที่ทุกประเทศมีสันติภาพ และเสรีภาพที่ถาวร ส่วนการประสานสัมพันธไมตรีอย่างแน่นแฟ้นระหว่างเยอรมนีและฝรั่งเศสหลังความเกลียดชังและขมขื่นจากสงครามโลกทั้งสองครั้งก็ยิ่งส่งผลดีต่อการรวมตัวกันของสหภาพยุโรปและสันติภาพของภูมิภาค และโลกด้วย

3 พฤศจิกายน ประธานาธิบดีของประเทศสาธารณรัฐเช็คเป็นผู้นำประเทศท้ายสุด ที่ได้ลงนามให้สัตยาบันให้กับสนธิสัญญาลิสบอน ซึ่งประเทศสมาชิกสหภาพยุโรปรวมถึง 27 ประเทศได้ลงนามร่วมกันไว้เมื่อปี 2007 เพื่อเพิ่มอำนาจให้กับสหภาพยุโรป

โดยเฉพาะอำนาจในการตัดสินใจออกกฎหมายโดยรัฐมนตรีจากประเทศสหภาพยุโรปแต่ละประเทศ ที่ไม่จำเป็นต้องใช้เสียงเอกฉันท์อย่างแต่ก่อน

นอกจากนี้สหภาพยุโรปกำหนดให้มีตำแหน่งข้าหลวงใหญ่กิจการต่างประเทศและความมั่นคงของสหภาพ หรือตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศของสหภาพยุโรปที่ต้องแสดงจุดยืนและท่าทีของสหภาพยุโรปที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน

สหภาพยุโรปจึงพัฒนาก้าวไกลกว่าการรวมตัวกันอย่างหลวมๆ เพื่อจุดมุ่งหมายทางเศรษฐกิจอย่างที่มีมาแต่แรกเริ่ม แต่เป็นการรวมตัวกันทั้งทางการเมืองที่จะส่งผลต่อนโยบายภายในประเทศสมาชิก และนโยบายต่างประเทศของสหภาพยุโรปต่อภูมิภาคอื่นๆ ของโลก

จุดมุ่งหมายสูงสุดของสหภาพยุโรปก็คือการมีรัฐธรรม นูญของประเทศสมาชิกในยุโรปร่วมกัน ซึี่่งหมายถึงว่ารัฐบาลในแต่ละประเทศจะมีบทบาทลดลง ไปอีก และให้มีรัฐบาลหรือองค์การที่มีอำนาจเหนือชาติ supranational organization เกิดขึ้น ต่อไปในอนาคต

9 พฤศจิกายน 2009 ครบรอบยี่สิบปีของการล่มสลายของกำแพงเบอร์ลินปี 1989 ซึ่งเกิดขึ้นหลังการล่มสลายของสหภาพโซเวียต และการต่อสู้เรียกร้องเสรีภาพและประชาธิปไตยของคนเยอรมันตะวันออกเอง ซึ่งหากชาวเยอรมันตะวันออกขณะนั้นยอมจำนนต่ออำนาจเผด็จการสังคมนิยมในขณะนั้น ไม่ยอมออกมาเดินขบวนเรียกร้อง แต่ยอมอยู่อย่างว่านอนสอนง่ายต่อไปอย่างคนเกาหลีเหนือแล้ว อดีตนายกรัฐมนตรีเฮลมุท โคลคงไม่ได้รับสัญญานความต้องการของประชาชน และเริ่มการเจรจาติดต่อกับอดีตประธานาธิบดีมิคาอิล กอบาชอฟในสมัยนั้นเพื่อรวมประเทศเยอรมนีเ้ข้าไว้ด้วยกัน

อันเป็นนโยบายใฝ่ฝันสูงสุดของพรรคซีดียู ( พรรคสหภาพคริส เตียนเดโมแครท) นับตั้งแต่ยุคก่อตั้งพรรคซีดียู หลังสงครามโลกครั้งที่สอง อันมีอดีตนายกรัฐ มนตรีคอนราด อเดนาวเวอร์ซึ่งพยายามต่อสู้เรียกร้องการรวมตัวกันเป็นอันหนึ่งอันเดียวของเยอรมนีตะัวันตกและตะวันออกตลอดมา

งานพิธีรำลึกถึงเหตุการณ์อันน่าปิติยินดีนี้ นอกจากผู้นำรัฐบาลในปัจจุบันจากประเทศสำคัญๆ ในยุโรปและทั่วโลกแล้ว (สหรัฐมีนางคลินตัน รัฐมนตรี ต่างประเทศเป็นตัวแทน) อดีตผู้นำที่ผลักดันให้เยอรมนีรวมประเทศได้ทั้งสามคนสำคัญได้แก่ นายกอบาชอฟ นายจอร์จ บุช (ซีเนียร์) และนายโคลก็ได้มาร่วมงานพิธีด้วย

ส่วนผู้นำอีกสองคน ที่ก็มีบทบาทด้วยแม้จะเป็นบทบาทในทาง “มือไม่พายแต่เอา”เท้า”้ราน้ำ” มากกว่า ได้แก่ นางแธตเชอร์ ของอังกฤษนั้นก็สิ้นสภาพออกงานไม่ได้เสียแล้ว ส่วนนายมิตเตอรองด์แห่ง ฝรั่งเศสก็สิ้นบุญไปแล้วหลายปี จึงมีแต่บุรุษเก๋ากึ๊กเท่านั้นที่มาร่วมเป็นสักขีพยานในพิธีนี้ด้วย

มีข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ที่อยากนำมาเล่านิดหน่อย เกี่ยวกับเรื่องการรวมตัวประเทศของเยอรมัน นางมากาแร็ท แท็ตเช่อร์นั้นไม่เห็นด้วยกับการที่เยอรมนีจะรวมกันเป็นประเทศเดียว เพราะเธอกลัวว่าเยอรมนีจะหวนกลับมายิ่งใหญ่และมีอำนาจก่อสงครามอีก นางแธตเช่อร์ไม่ไว้วางใจเยอรมนีจึงพยายามขัดขวาง

มีอยู่หนึ่งครั้งในระหว่างการพบปะเจรจากันเมื่อนายโคลบอก ว่าเยอรมนีจะตัดสินใจนอนาคตทางเดินของประเทศเอง นางแท็ตเช่อร์ตอบนายโคลเป็นภาษา ฝรั่งเศสว่า “Nationalismus, n’est ce pas ?“ ซึ่งแปลว่าอย่างนี้เขาเรียกว่า “ชาตินิยม ใช่ไหม” นายกรัฐมนตรีโคลของเยอรมนีซึ่งร่ำเรียนมาทางประวัติศาสตร์จึงตอบกลับนางแท็ตเชอร์ไปว่า “
ความแตกต่างระหว่างผมกับคุณ คุณแท็ตเช่อร์ ก็คือคุณมีความคิดแบบก่อนหน้าเชอร์ชิลจะไป กล่าวสุนทรพจน์ที่ซูริค แต่ผมมีความคิดตามแบบสุนทรพจน์ของเชอร์ชิล
”(2)

ในสุนทรพจน์์ที่เชอร์ชิลกล่าวต่อนักศึกษาที่มหาวิทยาลัยซูริค เมื่อปี 1946 เขาพูดถึงลัทธิ”ชาิตินิยม” ว่าคือสิ่งที่ก่อ ให้เกิดความขัดแย้งและความหายนะของยุโรป และทางที่ดีที่จะสามารถธำรงสันติภาพ และสร้างความสุขสถาพรให้กับประชาชนในยุโรปได้ก็คือการก่อตั้งองค์การความร่วมมือในภูมิภาคขึ้นแก่ประเทศต่างๆ ทั่วยุโรป โดยให้เยอรมนีและฝรั่งเศสนำความร่วมมือจากประเทศต่างๆ ในยุโรป และให้ประเทศอื่นๆ อาทิ อังกฤษ อเมริกา รวมถึงสหภาพโซเวียตให้การสนับสนุนเพื่อทำให้การรวมตัวกันของประเทศต่างๆ ในยุโรปเป็นจริงและประชาชนยุโรปทุกคนสามารถอยู่ร่วมกันได้ อย่างมีความสุข3

เชอร์ชิลคือรัฐบุรุษของยุโรปและของโลกที่มีวิสัยทัศน์ที่ยาวไกลอย่างยิ่ง ผู้นำของประเทศต่างๆ ในอาเซียนควรจะเรียนรู้ความคิดความอ่านของผู้นำประเทศต่างๆ อย่างนี้บ้าง พวกเขาต้องเป็นทั้งผู้นำที่ดีของประเทศตัวเอง และผู้นำที่ดีสำหรับอาเซียน มองหาจุดร่วมกันที่จะสรรค์สร้างมิตรภาพขึ้นมาให้ได้ ไม่ใช่หาปัญหาเพื่อมาทะเลาะกันแทนที่จะพัฒนาหาความรุ่งเรืองเพื่อประเทศชาติและประชาชนด้วยกันอย่างที่ประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียนกำลังเกิดปัญหากันอยู่

ผู้นำของประเทศต้องสร้างความประนีประนอมให้กับคนในชาติ ใ้ช้น้ำเย็นลูบกระแสชาตินิยมของคนในชาติว่า ไม่ได้นำอะไรที่เป็นผลดีมาสู่ประเทศนั้นเลย ไม่ใช่กระทำในทางตรงกันข้ามอย่างที่เห็นอยูู่ หรือถ้าตกเป็นเหยื่อของหลุมชาตินิยมที่ตนเองขุดไว้เพื่อจัดการกับรัฐบาลชุดก่อนหน้านี้แล้ว ก็เป็นเรื่องที่อาจเข้าใจได้ว่าจะให้ขุดหลุมกลบตัวเองในตอนนี้คงไม่ง่ายนัก

แต่อย่างไรก็ดีรัฐบาลไทยก็ต้องหาทางออกไม่ให้ประเทศชาติต้องตกหลุมลึกนี้ยิ่งไปกว่าที่เป็นอยู่

และล่าสุด 12 พฤศจิกายน เยอรมันและฝรั่งเศสร่วมรำลึกการสิ้นสุดของสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง ร่วมกันเพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศให้แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกว่าเดิม เพื่อเป็นหลักประกันว่าต่อไปนี้ทั้งสองประเทศจะไม่เป็นศัตรูกันต่อไปอีกแล้ว

ทั้งๆที่ทั้งสองประเทศเคยทำศึกรบราฆ่าฟันกันมาแล้วอย่างหนักหน่วง ทั้งในสงครามโลกครั้งที่หนึ่งและครั้งที่สอง ทหารและพลเรือนของทั้งสองประเทศเสียชีวิตไปหลายล้านคน ประวัติศาสตร์ัอันน่าเจ็บช้ำขมขื่นนี้ยังไม่ยาวนานถึงหนึ่งร้อยปีเลย แต่ผู้นำและประชาชนของทั้งสองประเทศสามารถลืมความโกรธแค้น และขมขื่นของสงครามได้ ก็เพราะผู้นำของทั้งเยอรมนี และฝรั่งเศสเล็งเห็นความสำคัญของประเทศชาติ และประชาชนทั้งสองประเทศมากกว่า แค่การดึงเอาความรู้สึกรักชาติหรือชาตินิยมของประชาชนมาเป็นเครื่องมือในการปกครองและเอาชนะศัตรู

นายกรัฐมนตรีคนแรกของเยอรมนีหลังสงครามโลกครั้งที่สอง “คอนราด อเดนาวเออร์” Konrad Adenauer เคยกล่าวว่า นายกรัฐมนตรีที่ดีนั้นไม่ใช่แค่เป็น “guter Deutscher, aber auch guter Europäer“ หมายความว่าไม่ใช่แค่เป็นคนเยอรมันที่ดีเท่านั้น แต่ต้องเป็นคนยุโรปที่ดีด้วย(4)

นั่นคือต้องเป็นผู้ที่มีหลักการสากลนิยมเห็นความสำคัญของประเทศในยุโรปทุกประเทศ ไม่ใช่แค่เห็นแก่ความสำคัญของประเทศเยอรมันเท่านั้น

ไทยกับกัมพูชานั้นแม้เคยทำสงครามกันมาแล้วเช่นกัน แต่เหตุการณ์นั้นก็ผ่านไปเกินกว่าห้าร้อยปีแล้ว ตั้งแต่สมัยอยุธยาเมื่อเจ้าสามพระยายกทัพไปยึดดินแดนของกัมพูชาเมื่อปี พ.ศ. 1974 มีเสียมราฐซึ่งมีนครวัด นครธมโบราณสถาน ที่ชาวกัมพูชารักเป็นชีวิตจิตใจ และจำปาศักดิ์ ซึ่งเป็นที่ตั้งของปราสาทพระิวิหารมาเป็นของไทยด้วย

ความขัดแย้งระหว่างไืทยกับกัมพูชานั้นเทียบกันไม่ได้เลยกับสงครามอันโหดร้ายที่ฝรั่งเศส และเยอรมนีกระทำต่อกัน แม้ประวัติศาสตร์สมัยใหม่สามสิบปีที่แล้วที่ไทยก็มีบทบาทลับๆ ทางการทูตที่อิงกับจีนเก่าและให้การสนับสนุนเขมรแดงอย่างลับๆ จนเขมรแดงมีอำนาจและใช้นโยบายจัดการกวาดล้างพวกที่เป็นปฏิปักษ์หรือปฏิกริยาต่อการปฏิวัติสร้างรัฐใหม่อย่างผิดพลาด ผู้คนล้มตายหลายแสนคนก็ตาม ก็ยังเทียบกับความโหดร้ายของสงครามระหว่างเยอรมันกัับฝรั่งเศสไม่ได้

นอกจากว่าผู้นำของประเทศ และสื่อที่รับใช้ผู้นำอย่างไม่ลืมหูลืมตา เพื่อผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจโดยลืมศักดิ์ศรีและคุณค่าของอาชีพการงาน พยายามวาดภาพศัตรูที่ไม่มีตัวตนจริง “künstliche Feindbilder“ ขึ้นมาเพื่อมุ่งประโยชน์ส่วนตัวมากกว่าประโยชน์ของชาติและประชาชน อย่างที่นางแมร์เคลนายกรัฐมนตรีเยอรมนีบอกว่า ไม่มีวันที่เยอรมนีและฝรั่งเศสจะสร้างภาพของศัตรูที่ไม่มีตัวตนขึ้นมาอีก เพื่อสร้างความเกลียดชังซึ่งกันและกัน

แม้แต่ระหว่างศัตรูคู่อาฆาตอย่างฝรั่งเศสกับเยอรมนี ก็ยังสามารถหันหน้า มาปรองดองกันได้ แล้วทำไมไทยกับกัมพูชาและประเทศต่างๆ ในอาเซียนจะปรองดองและร่วมกันพัฒนาภูมิภาคเพื่อความเจริญสมบูรณ์พูนสุขของประชาชนทั้งมวลไม่ได้เล่า!
*************
อ้างอิง
1 Franfurter Allgemeine Zeitung, 12 November 2009, S. 2 Deutsche Fahnen am Triumphbogen

2 Frankfurter Allgemeine Zeitung, 2 Oktober 2009, Nationalismus, n’est-ce pas ?, Feuilleton, S.33

3 ฟังสุนทรพจน์เสียงจริงของวินสตัน เชอร์ชิลด์ได้ที่ www.ena.lu/address-given-winston-churchill-zurich-19-september-1946-022600045.html

4 Dr. Theo Sommer , 60 Jahre Bundesrepublik im Spiegel der Zeit, “Deutschland und Frankreich , Ein Gespräch der „Zeit“ mit Bundeskanzler Dr. Adenauer“ vom Ernst Friedlaender, Zeitverlag, Hamburg, 2009