เมื่อนักการเมืองอย่าง บรรหาร ศิลปอาชา กับ สนั่น ขจรประศาสน์ ออกมาเร่งกระบวนการยุบพรรคพลังประชาชนด้วยตนเอง จึงเป็นเรื่องที่น่าสนใจและจะมองข้ามไปไม่ได้เลย เพราะ คน 2 คนนี้เคยทำให้การเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 ล้มเหลว และเป็นโมฆะมาแล้ว
การเรียกร้อง กดดัน และจี้ให้ กกต. ลงมือยุบพรรคพลังประชาชนด้วยช่องทางพิเศษ ไม่ต้องเป็นไปตามกระบวนการของกฎหมาย และมีเป้าหมายว่าต้องยุบให้ได้ก่อนวันเลือกตั้ง 23 ธันวาคม จะมาถึง แสดงให้เห็นถึง อาการร้อนรน ลุกลี้ลุกลน และอาการหวาดกลัวของคนแก่ 2 คนนี้ ไปพร้อมๆ กัน
กระบวนการยุบพรรคการเมืองตามขั้นตอนที่กฎหมายกำหนดไว้ก็คือ กกต. ต้องตรวจสอบเรื่องที่ถูกร้องหรือพบว่าเข้าข่ายมีความผิด แล้วลงมติ หาก กกต. เห็นเป็นเอกฉันท์ว่าสมควรยุบ ก็ต้องทำสำนวนเสนอไปให้อัยการสูงสุดพิจารณา หากอัยการไม่เห็นด้วยก็ส่งคืน หากอัยการเห็นด้วยก็ส่งสำนวนคำร้องยุบพรรคไปที่ศาลรัฐธรรมนูญ เข้าสู่กระบวนการพิจารณาของศาล หากศาลเห็นว่ามีความผิดตามคำร้องก็สั่งยุบพรรค หากศาลเห็นว่าไม่มีความผิดก็ยกคำร้อง
ขั้นตอนตามกฎหมายต้องเป็นไปอย่างนี้ และในแต่ละขั้น ตั้งแต่ชั้น กกต. อัยการ และศาลรัฐธรรมนูญ ก็จะต้องมีการสอบผู้กล่าวหา ผู้ถูกกล่าวหา พยานทั้ง 2 ฝ่าย ทั้งพยานบุคคล พยานเอกสาร ซึ่งกว่าจะมีข้อสรุปในแต่ละชั้นก็ต้องใช้เวลาไม่น่าจะเร็วกว่า 1 เดือน โดยเฉพาะในชั้นของศาลรัฐธรรมนูญ กว่าจะสืบพยาน กว่าจะฟังคำให้การของแต่ละคน แต่ละปากจบ ก็น่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 5-6 เดือน กรณีการยุบพรรคไทยรักไทย ตุลาการรัฐธรรมนูญก็ใช้เวลาพิจารณามากกว่า 6 เดือน
กล่าวโดยรวมแล้ว ตั้งแต่ กกต. เริ่มรับข้อร้องเรียน ตั้งกรรมการสอบ ไปจนถึงศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยทางใดทางหนึ่ง น่าจะใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 ปี จึงไม่มีทางเป็นไปได้เลยที่จะมีการยุบพรรคพลังประชาชนได้ในเวลาที่เหลืออีกไม่ถึง 1 สัปดาห์ก็จะถึงวันลงคะแนนเลือกตั้ง
แต่ทว่า กลับมีความพยายามที่จะใช้ช่องทางพิเศษ ใช้อำนาจพิเศษที่ไม่มีอยู่ในกฎหมาย หากแต่อาศัยการตีความกฎหมายเพื่อประโยชน์ฝ่ายตน และให้โทษผู้อื่น ด้วยการเร่งรัดให้ กกต. สรุปสำนวนการยุบพรรคพลังประชาชนโดยไม่ต้องมีการสอบสวน แล้วส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยสั่งยุบพรรคพลังประชาชนทันที โดยไม่คำนึงถึงความเป็นธรรมและหลักกฎหมาย
กระบวนการยุบพรรคพลังประชาชนโดยอาศัยอำนาจพิเศษนี้ อย่าไปคิดว่าเป็นเรื่องตลกที่เป็นไปไม่ได้ เพราะก่อนการเลือกตั้ง 2 เมษายน 2549 ก็ไม่มีใครคิดว่าพรรคประชาธิปัตย์ พรรคชาติไทย และพรรคมหาชน จะบอยคอตการเลือกตั้ง ทั้งๆ ที่พรรคการเมืองมีหน้าที่ต้องส่งผู้สมัครรับเลือกตั้ง ไม่ว่าจะแพ้หรือไม่มีทางสู้อย่างไร ก็ต้องทำตามหน้าที่ของตนในฐานะพรรคการเมือง
แต่สุดท้าย นาย
เพราะฉะนั้น อย่าได้ประมาทว่าการยุบพรรคพลังประชาชนด้วยอำนาจพิเศษ ด้วยการตีความกฎหมายเพื่อความพึงพอใจและความสมประโยชน์ของคนบางคน จะเกิดขึ้นไม่ได้ โดยเฉพาะ บุคคลที่ถือว่าตนเป็นผู้มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ และกฎหมายทั้งปวงที่มีอยู่ในแผ่นดินนี้
ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา กลุ่มคนกลุ่มหนึ่งนั่งสุมหัวขบคิดหาช่องทางยุบพรรคพลังประชาชนให้ได้ก่อนจะถึงวันเลือกตั้ง และมีความพยายามหยั่งกระแสสังคมอยู่ตลอดเวลาว่าเห็นด้วยหรือไม่ ปรากฏว่าข้อเสนอของ นาย
ข้อเสนอของทั้ง 3 คนนี้ตรงกัน คือ เร่งรัดให้ กกต. ยุบพรรคพลังประชาชนก่อนการเลือกตั้ง ด้วยข้อกล่าวหาเดียวกันคือ วีซีดีทักษิณบอกให้ประชาชนเลือกพรรคพลังประชาชน
แต่ดูเหมือนว่าข้อเสนอนี้จะไม่มีเงื่อนไขเพียงพอที่ กกต. จะอ้างได้ว่าเป็นเหตุสำคัญที่ต้องพิจารณาและดำเนินการยุบพรรคพลังประชาชนอย่างเร่งด่วน ประกอบกับเหลือเวลาอีกเพียงไม่ถึงสัปดาห์ก็จะเป็นวันเลือกตั้ง หากทำอะไรที่เป็นการคัดง้างความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศ ก็อาจจะทำให้การเลือกตั้งมีปัญหาทั้งหมดก็ได้
จึงมีการเปลี่ยนข้อเสนอใหม่ จากยุบพรรคพลังประชาชน มาเป็นตัดสิทธิผู้สมัครรับเลือกตั้งของพรรคพลังประชาชนทุกคน ด้วยเหตุที่ว่าได้รับประโยชน์จากวีซีดีทักษิณ หากตัดสิทธิก่อนวันเลือกตั้งไม่ได้ ก็ไปตัดสิทธิหลังการเลือกตั้งผ่านไปแล้ว
ความพยายามเหล่านี้ แม้จะดูไม่มีเหตุมีผล ไม่น่าจะเป็นไปได้ และน่าหัวเราะขบขัน แต่กลุ่มผู้ดำเนินการกลับทำกันอย่างเคร่งเครียดจริงจัง ไม่มีท่าทีล้อเล่น และมุ่งมั่นที่จะทำทุกอย่างให้พรรคพลังประชาชนถูกยุบ และได้ ส.ส. น้อยที่สุด ถ้าทำได้ก่อนเลือกตั้งก็เข้าเป้า แต่ถ้าทำไม่ทัน ต้องรอไปหลังเลือกตั้ง ก็ยังเอา
ในส่วนของประชาชนที่เอาใจช่วยพรรคการเมืองที่กำลังถูกหาเรื่องยุบพรรคในขณะนี้ มีทางแก้ทางเดียวก็คือ หากเชื่อว่าพรรคการเมืองนั้นถูกรังแก กลั่นแกล้ง เพื่อถูกลงโทษโดยไม่มีความผิด ก็คือการทำให้กลุ่มบุคคลที่กำลังดำเนินการอยู่ได้เห็นว่า ประชาชนพร้อมที่จะเป็นผนังทองแดงกำแพงเหล็กให้กับพรรคการเมืองพรรคนั้น
หากวันใดมีการยุบพรรคเกิดขึ้น ก็จะเป็นการวัดกำลังกันระหว่าง พลังของประชาชน กับ พลังของผู้มีอำนาจเหนือรัฐธรรมนูญ
ถึงเวลานั้น ไม่ใครก็ใคร ต้องไปกันข้างหนึ่งล่ะ
วันนี้ บรรหาร ศิลปอาชา กับ สนั่น ขจรประศาสน์ ได้แสดงให้เห็นแล้วว่า ต้องฆ่ากันให้ตายไปข้าง ระหว่างพรรคชาติไทยกับพรรคพลังประชาชน
เพราะหากพรรคพลังประชาชนรอด พรรคชาติไทยก็จบเห่
เลือกตั้งครั้งนี้จึงไม่มีเสมอ มีแต่ แพ้ กับ ชนะ เท่านั้น
สำหรับประชาชนก็เช่นเดียวกัน หากแพ้ก็อยู่ใต้อำนาจเผด็จการตลอดไป หากชนะโอกาสที่จะมีประชาธิปไตยอีกครั้งก็สดใส
พูดกันถึงขนาดนี้แล้ว ก็แล้วแต่จะเลือกล่ะครับว่า จะพาตัวเองไปทางไหน