WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Monday, December 17, 2007

กระชากหน้ากาก จารุวรรณ เมณฑกา



กรณีใส่ชื่อลูกชาย ลูกสาว เป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน แล้วจูงมือกันเดินขึ้นเครื่องบิน ติดสอยห้อยตามไปเที่ยวไปทัวร์ต่างประเทศ ด้วยเงินหลวง แต่ต่อมาถูกจับได้ และถูกลากไส้ประจานให้ประชาชนได้เห็น จนต้องยอมรับสารภาพ และกราบขอโทษ พร้อมทั้งแก้ไขด้วยวิธีการคืนเงินค่าตั๋วเครื่องบินให้แก่แผ่นดิน ยังไม่ทันได้ชำระความให้จบสิ้นหมดกลิ่นคอรัปชั่นตามกระบวนการทางกฎหมาย

แม้จะยอมรับผิด และนำเงินในกระเป๋า มาคืนหลวง แล้วก็ ยังไม่อาจถือได้ว่าพ้นผิด เนื่องเพราะการกระทำผิดได้สำเร็จไปแล้ว นับแต่วินาทีที่ จารุวรรณ เมณฑกา ลงลายมือชื่อ รับรองว่าลูกชายและลูกสาว เป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน ซึ่งเท่ากับเป็นการแจ้งเท็จเบิกเงินหลวง เพื่อประโยชน์ส่วนตนและครอบครัว

ตรงกันข้ามการนำเงินในกระเป๋า มาคืนให้หลวง นอกจากจะไม่ใช่การลบล้างความผิด ยังเป็นการตอกย้ำและรับรองการกระทำความผิดด้วยมือตนเองให้ชัดเจนมากขึ้นไปอีก

หากไม่ผิด หากไม่ใช้เงินหลวงผิดประเภท ใช้เงินแผ่นดินผิดวัตถุประสงค์แล้ว จะต้องนำเงินตัวเองมาคืนหลวงทำไม

หากลูกชายและลูกสาวเป็นเจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน จริง ก็ไม่มีเหตุผลที่ต้องคืนเงินให้หลวง

กรณีเบียดบังเงินหลวง ควงลูกชายลูกสาวทัวร์ต่างประเทศ ก็นับว่ารุนแรงและผิดจริยธรรม ผิดวิสัยของคนที่จะเป็นผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน อย่างสาหัสสากรรจ์แล้ว

แต่ทว่ากรณีที่หนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ นำมาเปิดเผยในวันนี้ ยิ่งหนักหนาสาหัสกว่าหลายร้อยเท่า และเป็นกรณีที่ต้องเอาเรื่องให้ถึงที่สุด ไม่สามารถปล่อยให้ จารุวรรณ เมณฑกา คนดีจอมปลอม เดินปะปนอยู่กับคนดีทั่วไป ได้อีกต่อไป แม้แต่เดินกับประชาชนคนธรรมดาสามัญชน บนบรรทัดฐานของปกติชน ก็ยังไม่มีสิทธิจะร่วมชั้น

กรณีที่ว่า ก็คือ กรณีที่มีบริษัทรับจัดสัมมนาการตรวจสอบบัญชีรายหนึ่ง ชื่อว่าบริษัท ออดิต แอนด์ แมเนจเม้นท์ คอนซัลแตนท์ จำกัด ที่มี นางพิไล เปี่ยมพงศ์สานต์ เป็นประธานกรรมการ และ น.ส.ชนิดาภา สุขสะอาด เป็นผู้จัดการ ซึ่งเป็นบริษัทที่ได้รับการว่าจ้างจาก จารุวรรณ เมณฑกา ในฐานะผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน ให้มาจัดการอบรมสัมมนาเจ้าหน้าที่ตรวจเงินแผ่นดิน แบบผูกขาดเพียงรายเดียว อบรมไปแล้ว 9 รุ่น และยังทำสัญญาว่าจ้างต่อเนื่องกันไปจนปี 2551 ชนิดที่บริษัทอื่น เห็นแล้วอดอิจฉาตาร้อน น้ำลายหก ไม่ได้

แต่ก็อย่างที่โบราณว่าไว้ แข่งเรือแข่งพายแข่งได้ แต่แข่งบุญวาสนาแข่งไม่ได้

จากการสืบเสาะหาข่าวของ หนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ ทำให้เราได้รู้ว่าเหตุที่บริษัทออดิต แอนด์ แมเนจเม้นท์ คอนซัลแตนท์ จำกัด ได้รับการว่าจ้างจาก จารุวรรณ เมณฑกา อย่างต่อเนื่องยาวนานแบบข้ามปี ก็เพราะว่า บริษัทฯ ได้ทำบุญไว้เยอะ และเป็นการทำบุญทางตรง ไม่ใช่ทำบุญผ่านวัดวาอาราม ผ่านพระสงฆ์องค์เจ้าที่ไหน แต่เป็นการทำบุญ กับ จารวรรณ เมณฑกา และ สามี แบบ ทำบุญทางตรง ผลบุญจึงตอบแทนรวดเร็วทันใจ

ทำบุญทางตรงที่ผมกล่าวถึงนี้ ก็คือ บริษัทออดิต แอนด์ แมเนจเม้นท์ คอนซัลแตนท์ จำกัด ได้จ่ายเงินให้แก่ จารุวรรณ เมณฑกา และสามี คือ ทรงเกียรติ เมณฑกา เป็นประจำทุกเดือน โดยทำเป็นว่าจ่ายค่าเช่าอาคารพาณิชย์ของสามีจารุวรรณ เมณฑกา เพื่อทำเป็นสำนักงานของบริษัท แต่ในความเป็นจริงแล้ว บริษัทออดิต แอนด์ แมเนจเม้นท์ คอนซัลแตนท์ จำกัด ไม่ได้เข้าไปอยู่ หรือเปิดสำนักงานที่อาคารพาณิชย์หลังดังกล่าวเลย

อาคารพาณิชย์ เลขที่ 29 ซอย 40/1 ถนนจรัญสนิทวงศ์ แขวงบางยี่ขัน เขตบางพลัด กรุงเทพฯ ซึ่งบริษัทแจ้งว่าเป็นสำนักงานของบริษัทฯ มีชื่อสามีจารุวรรณ เมณฑกา เป็นเจ้าของ และมีชื่อจารุวรรณ อยู่ในบ้านหลังนั้นด้วย ตั้งอยู่ติดกับโรงพิมพ์กิตติวรรณ ซึ่งเป็นของ ทรงเกียรติ เมณฑกา สามีของจารุวรรณ เมณฑกา เปิดดำเนินการอยู่ ทั้งนี้จากการตรวจสอบของหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ พบว่าอาคารเลขที่ 29 เป็นอาคารร้าง ปิดเงียบ ไม่มีบริษัทมาเปิดดำเนินการ และไม่มีป้ายชื่อบริษัทติดไว้ว่าเป็นสำนักงานของบริษัทใดด้วย

ดังนั้น จึงต้องพิจารณากันว่าเงินที่อ้างว่ามีการจ่ายกันเป็นค่าเช่า ระหว่างบริษัทออดิตฯ กับ จารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน หรือ ทรงเกียรติ เมณฑกา สามีของจารุวรรณ เป็นค่าเช่าอาคาร ทำเป็นสำนักงานจริงหรือไม่ แต่จากหลักฐานเอกสารที่ปรากฎในขณะนี้ และจากตัวอาคารที่ไม่ได้เปิดเป็นสำนักงานจริง จึงไม่อาจจะถือว่าเป็นการจ่ายค่าเช่า หากแต่เป็นเพียงการทำนิติกรรมอำพราง เป็นการทำสัญญาเช่าอาคาร เพื่อใช้เป็นช่องทางการจ่ายเงินสิบบน หรือ เงินตอบแทนเพื่อแลกกับผลประโยชน์ ที่ได้จาก จารุวรรณ เมณฑกา ในฐานะผู้ว่าการตรวจเงินแผ่นดิน มากกว่า

ด้วยการทำบุญทางตรง ส่งถึงมือผู้รับโดยไม่ต้องผ่านมือใคร ไม่ถูกใครหักค่าหัวคิวแบบนี้นี่เอง จึงส่งผลให้บริษัทออดิตฯ ได้รับผลบุญทันตาเห็น ได้รับการว่าจ้างให้เป็นบริษัทจัดอบรมสัมมนาให้แก่เจ้าหน้าที่สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน แบบผูกขาด โดยไม่ต้องเข้าแข่งขันประมูลราคา ประกวดแผนงาน กับบริษของใครหน้าไหนทั้งสิ้น เพราะได้รับความไว้วางใจจจากสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน มากเป็นพิเศษ เชื่อถือฝีมือกัน โดยไม่ต้องคิดหน้าคิดหลัง ไม่ต้องคิดถึงใครอีกแล้ว

ประชาทรรศน์ ระบุด้วยว่า สัญญาเช่าอาคารดังกล่าว กำหนดระยะเวลาการเช่าไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2553 คิดค่าตอบแทนการเช่าในอัตราปีละ 52,500 บาท โดยผู้เช่าเป็นผู้รับผิดชอบค่าธรรม เนียม ค่าภาษี และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ทั้งหมด โดยไม่มีการวางมัดจำ การจ่ายเงินล่วงหน้า หรือการวางเงินค้ำประกันแต่อย่างใด ประเด็นสัญญาเช่าอาคารนี้ ได้ถูกตั้งข้อสงสัยถึงความเกี่ยวพันและผลประโยชน์ทับซ้อน ระหว่าง จารุวรรณ เมณฑกา กับ บริษัท ออดิตฯ และ การที่บริษัทดังกล่าวเช่าอาคารพาณิชย์ของสามีจารุวรรณ โดยที่ตัวจารุวรรณ ก็มีชื่ออยู่ในบ้านหลังดังกล่าวด้วย

บังเอิญอย่างเหลือเชื่อ ประดาบ ก็เป็นคนฝั่งธน วิ่งเล่นอยู่แถวบางยี่ขัน มาตั้งแต่ยังไม่เข้าโรงเรียน ทุกวันนี้ก็ยังไปเยี่ยมเยือนถิ่นเก่าอยู่เนืองๆ จึงพอรู้อยู่บ้างว่าอาคารพาณิชย์ หรือ ที่เรียกภาษาชาวบ้านว่าตึกแถวละแวกนั้น เช่ากันเดือนละไม่ต่ำกว่า 20,000-30,000 บาท แล้วแต่ทำเลอยู่หน้าถนน หรืออยู่ในซอย เพราะฉนั้นแล้ว ราคาค่าเช่าที่ตั้งกันไว้ปีละ 52,500 บาท นับว่าเป็นอัตราค่าเช่าที่ต่ำกว่าปกติ ต่ำพิสดารมากเกินไป ราคาต่ำแบบนี้ มีแต่เจ้าของเช่าอาคารตัวเองเท่านั้น เพื่อตัดค่าใช้จ่ายของบริษัท เพื่อประโยชน์ในการหลบหนีภาษีเท่านั้นล่ะ ที่จะพอหาได้

วิเคราะห์จากพฤติกรรมชองบริษัทออดิตฯ ที่เช่าตึกของทรงเกียรติ เมณฑกา ในราคาถูกแสนถูก ราคาต่ำติดดิน และ จารุวรรณ เมณฑกา ก็อนุมัติว่าจ้างบริษัทออดิตฯ มารับจ้างจัดการอบรมสัมมนาให้แก่เจ้าหน้าที่สตง.อย่างต่อเนื่องข้ามปี โดยไม่มีการประมูล หรือ ประกวดราคาแข่งขันกับใครทั้งนั้น ต้อง สันนิษฐานไว้ 2 ประเด็น คือ

1. จารุวรรณ เมณฑกา คือ เจ้าของตัวจริงของบริษัทออดิตฯ จึงให้เช่าตึกราคาถูก และ จ้างบริษัทนี้เป็นประจำ ทำกันต่อเนื่องแบบข้ามปีแบบนี้

2. จารุวรรณ เมณฑกา คือ ผู้รับผลประโยชน์จากบริษัทออดิตฯ ซึ่งเป็นผู้เช่าอาคารพาณิชย์ ของทรงเกียรติ เมณฑกา สามีตัวเอง ทั้งในรูปของการเช่าอาคาร แต่ไม่เข้าอยู่ เป็นนิติกรรมอำพราง และ ผลประโยชน์ในรูปอื่น จึงอนุมัติให้จ้างบริษัทนี้ เป็นประจำ

ไม่ว่ารูปการณ์จะออกทางใด ระหว่าง 1 กับ 2 ที่ประดาบ สันนิษฐานไว้ ก็ต้องกล่าวหากันตรงนี้เลยว่า จารุวรรณ เมณฑกา เป็นผู้ว่าการสตง. ที่มีผลประโยชนย์ทับซ้อนระหว่างประโยชน์ส่วนตนกับ ประโยชน์บริษัทออดิตฯ และประโยชน์ของสตง. โดยผ่านงบประมาณของสต. เป็นสำคัญ และเอื้อประโยชน์ให้แก่ บริษัทออดิตฯ ได้เป็นผู้รับจ้างของสต. โดยไม่ชอบธรรม

ประชาทรรศน์ ยังรายงานการตรวจสอบงบดุลของบริษัทออดิต ฯ พบว่าจากปี 2548 ถึงปี 2549 บริษัทฯ มีรายได้รวมเพิ่มขึ้นอย่างมากจาก 6.4 ล้านบาท เป็น 10.9 ล้านบาท โดยรายได้ที่เพิ่มขึ้นเป็นรายได้จากการสัมมนาล้วนๆ จากที่เคยมีรายได้ 1,194,893.45 บาท ในปี 2548 ได้เพิ่มเป็น 5,600,560.76 ในปี 2549 คิดเป็นเงินที่เพิ่มขึ้นกว่า 4.5 ล้านบาท ซึ่งเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ จารุวรรณ เมณฑกา ได้กลับเข้ามารับตำแหน่งผู้ว่าการสำนักงานตรวจเงินแผ่นดินอีกครั้ง เมื่อ 31 มกราคม 2549

ขณะเดียวกันบริษัทฯ ก็ยังได้ประมาณการรายรับที่จะได้รับจากสำนักงานการตรวจเงินแผ่นดินในปี 2550 ไว้อีกประมาณ 2.8 ล้านบาท ยังไม่รวมถึงรายได้ที่ยังคงผูกพันต่อไปถึงปี 2551 อีกด้วย

ประดาบ อ่านสกู๊ปข่าวเชิงสืบสวนสอบสวนของประชาทรรศน์ ที่เปิดโปงพฤติกรรมของจารุวรรณ เมณฑกา ในเรื่องนี้แล้ว ต้องปรบมือชมเชยหนังสือพิมพ์น้องใหม่ ใจถึง พึ่งได้ รายนี้ จากหัวใจจริงๆ และขอแสดงความเคารพในความเป็นมืออาชีพของคนทำข่าวกลุ่มนี้

สกู๊ปข่าวชิ้นนี้ เป็นการกระชากหน้ากาก จารุวรรณ เมณฑกา คนดีจอมปลอม ที่มักจะอวดอ้างว่าเป็นผู้มีคุณธรรม เป็นผู้กระทำแต่ความดี เป็นคนดีที่ถูกรังแก กลั่นแกล้ง ให้สังคม ประชาชนหลงเชื่อ และเข้าใจผิด ได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงว่า ทุกสิ่ง ทุกคำพูด ทุกข้อกล่าวหา ที่จารุวรรณ กล่าวหา ใส่ไคล้ ให้ร้ายผู้อื่นนั้น ล้วนแต่เบาบางจนแทบมองไม่เห็นความผิด เมื่อเปรียบเทียบกับพฤติกรรมเชิงประจักษ์ที่ปรากฎต่อหน้าต่อตา ในเรื่องนี้

ลองคิดทบทวนดูกันอีกทีว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร

บริษัทออดิตฯ เช่าอาคารของ ทรงเกียรติ เทมณฑกา สามีของ จารุวรรณ เป็นสำนักงานบริษัท แต่ปล่อยให้เป็นอาคารร้าง ไม่เคยเข้ามาอยู่ ไม่ติดป้ายบริษัท โทรศัพท์เข้าไป ก็ไม่มีใครรับ

บริษัทออดิตฯ ได้รับการว่าจ้างจากจารุวรรณ เมณฑกา ผู้ว่าการสตง. เป็นผู้จัดการอบรมสัมมนาให้แก่เจ้าหน้าที่สตง. ด้วยวิธีพิเศษ โดยไม่ต้องประกวดราคา ตั้งแต่ปี 2549 – 2551 มีรายได้ เพิ่มขึ้นเกือบ 100 % นับตั้งแต่ จารุวรรณ รีเทิร์นสู้สต. รอบที่สอง

คำถามมีอยู่ว่า บริษัทออดิตฯ กับ จารุวรรณ เมณฑกา มีความสัมพันธ์กันอย่างไร

คำถามมีอยู่ว่า จารุวรรณ เมณฑกา กับ บริษัทออดิตฯ รู้จักกันมาก่อนที่จะมาเป็นผู้ว่าจ้าง และ ผู้รับจ้างหรือไม่

คำถามมีอยู่ว่า ในขณะที่ตนมีพฤติกรรมเรียกรับผลประโยชน์ผ่านนิติกรรมอำพรางการเช่าอาคาร เช่นนี้ เหตุใด จารุวรรณ เมณฑกา จึงยังกล้ากล่าวหาผู้อื่น และยกย่องชมเชยตัวเอง เป็นคนดีมีคุณธรรม ยกตนข่มผู้อื่นอยู่ตลอดเวลา

คำถามที่อยู่ว่า เจ้าหน้าที่สตง. ยอมให้เกิดเรื่องราวเช่นนี้ขึ้นในหน่วยงานตรวจเงินแผ่นดินของประเทศได้อย่างไร ในขณะที่หน่วยงานแห่งนี้กำลังตรวจสอบหน่วยงานอื่น อยู่

คำถามมีอยู่ว่า ประชาชนจะยอมให้ จารุวรรณ เมณฑกา หลอกลวง สวมหน้ากากคนดีจอมปลอมต้มตุ๋นคนทั้งประเทศ ไปอีกนานเท่าไร

คำถามมีอยู่ว่า คนที่มีพฤติกรรม อย่าง จารุวรรณ เมณฑกา แบบนี้น่ะหรือที่จะเป็นมือปราบคอรัปชั่นของประเทศไทย

คำถามมีอยู่ว่า สื่อมวลชนทั้งหลาย ประชาชนทั้งประเทศ จะช่วยกันกระชากหน้ากากคนดีจอมปลอม คนนี้หรือไม่

ผมไม่ได้ดูถูกใคร ไม่ได้ปรามาสสื่อรายใด แต่ผมเชื่อว่า จะไม่มีใครกล้าพอที่จะนำเสนอสกู๊ปข่าวชิ้นนี้ จะไม่มีใครกล้าพอที่จะกระชากหน้ากากจารุวรรณ เมณฑกา

ผมจึงไม่หวังว่าสังคมไทยจะดีขึ้นในเร็ววัน เพราะสื่อมวลชนยังอยู่กับความฝัน มากกว่าความจริง

เราอาจจะต้องรอให้มีสื่ออย่างประชาทรรศน์ อีกสักหลายเล่ม หรือ รอให้สื่ออย่างประชาทรรศน์ เติบโต มีกำลังกล้าแข็ง พอที่จะกำราบคนดีจอมปลอม ได้ เพื่อที่สังคมไทยจะดีขึ้นตามที่เราต้องการ

ขอชื่นชมด้วยหัวใจของประดาบอีกสักครั้งครา คงไม่ว่ากันนะครับ สำหรับ ประชาทรรศน์



โดย ประดาบ จาก http://www.hi-thaksin.org/home.php