โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
29 พฤศจิกายน 2551
พันธมิตรฯ ยึดอุดมการณ์ขวาจัดที่เป็นอุดมการณ์ขับเคลื่อนระบอบอมาตยาธิปไตยมายาวนานหลายทศวรรษ อันเป็นระบอบที่ถูกคุกคามถอยร่นมากขึ้นเรื่อยๆ จากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา การบุกยึดและโจมตีที่ทำอย่างเป็นกระบวนการโดยใช้ข้ออ้างการป้องกันตนเอง และการทำเพื่อชาตินั้น เป็นการวางแผนเพื่อให้เกิดความระส่ำระสายในวงกว้าง และเปิดทางให้กลุ่มอภิชนปฏิกริยาพาประเทศไทยกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบแบบเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน
-แถลงการณ์ของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชีย
นานาชาติซึ่งรวมทั้งรัฐบาลสหรัฐฯ สหภาพยุโรป และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียได้ออกโรงกดดันพันธมิตรฯ ซึ่งนานาชาติเห็นว่ายึดอุดมการณ์ขวาจัดที่เป็นอุดมการณ์ขับเคลื่อนระบอบอมาตยาธิปไตยมายาวนานหลายทศวรรษให้ยุติการยึดสนามบิน เพราะทำให้ผู้โดยสารต่างประเทศตกค้างอยู่กว่า100,000คน โดยEUได้เตือนว่าเรื่องนี้จะส่งผลเสียหายต่อเศรษฐกิจไทย ขณะที่คณะกรรมการสิทธิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียเรียกร้องให้ทั้งโลกโดยเฉพาะUNแทรกแซงไทยเพื่อปกป้องประชาธิปไตยเอาไว้จากเผด็จการฟาสซิสต์พันธมิตร
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวของนานาชาติเป็นไปในท่ามกลางการบังคับใช้กฎหมายที่ไร้ประสิทธิภาพ เนื่องจากกองทัพไม่ให้ความร่วมมือกับรัฐบาล นักวิชาการส่วนหนึ่งที่สนับสนุนให้ท้าย คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติที่คอยแต่ห้ามว่าไม่ให้รัฐบาลใช้ความรุนแรงกับผู้ชุมนุม และห้ามรัฐบาลสั่งให้พันธมิตรสลายการชุมนุม(คลิ้กดูข่าวนี้ที่นี่) รวมไปถึงชนชั้นนำของประเทศ ซึ่งถูกเรียกขานว่าเป็น"เจ้าของม็อบพันธมิตร"ซี่งสื่อต่างประเทศรายงานโดยไม่ปิดบังว่าหมายถึงใคร แต่สื่อไทยจำเป็นต้องเซ็นเซอร์ตัวเองในเรื่องนี้อย่างระแวดระวัง
สหรัฐเรียกร้องให้ยุติการปิดสนามบินประท้วง
รายงานข่าวสำนักข่าวต่างประเทศจากซินหัว (28 พ.ย.) แจ้งว่า รัฐบาลสหรัฐฯได้ออกแถลงการณ์เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา เรียกร้องให้กลุ่มผู้ชุมนุมยุติการปิดสนามบิน
"เราเคารพสิทธิในการแสดงความเห็น แต่การปิดสนามบินไม่ใช่หนทางที่ถูกต้องในการประท้วง" นาย Gordon Duguid รองโฆษกรัฐบาลสหรัฐฯกล่าว
เขาได้เรียกร้องให้กลุ่มพันธมิตรออกจากสนามบินอย่างสันติ และเรียกร้องให้มีการแก้ปัญหาโดยไม่ใช้ความรุนแรง และทำภายใต้หลักแห่งกฏหมาย
ทูตอียูวอนพันธมิตรฯ เคลื่อนย้ายออกจากสนามบิน
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานวันนี้ (29 พ.ย.) ว่า สหภาพยุโรป (อียู) ได้ออกแถลงการณ์เรียกร้องให้กลุ่มพันธมิตรที่ชุมนุมประท้วงในประเทศไทย ออกไปจากท่าอากาศยานสุวรรณภูมิและดอนเมืองอย่างสงบ และว่าการชุมนุมประท้วง ซึ่งทำให้มีผู้โดยสารตกค้างถึงกว่า 100,000 คน กำลังทำให้ภาพลักษณ์ของประเทศไทยเสียหายอย่างมาก
แถลงการณ์จากเอกอัครราชทูตอียูประจำประเทศไทยยังได้เรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมแก้ไขวิกฤตการณ์ทางการเมืองในไทยอย่างสันติ เคารพในกฎหมาย และสถาบันประชาธิปไตยของประเทศ และว่าอียูเคารพสิทธิในการประท้วง และปราศจากการแทรกแซงปัญหาการเมืองภายในของไทย แต่เห็นว่าการกระทำของกลุ่มผู้ประท้วงในเวลานี้เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม อีกทั้งยังเป็นการทำลายภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาของนานาประเทศ
เอกอัครราชทูตอียูเรียกร้องให้กลุ่มผู้ประท้วงออกไปจากท่าอากาศยานทั้ง 2 แห่ง อย่างสันติและโดยเร็ว เพื่อไม่ให้เกิดวิกฤตการณ์และผลกระทบทางเศรษฐกิจต่อประเทศไทย (ลิงก์ - ไทยรัฐ)
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนเอเชียจี้UNแทรกแซงไทย ปกป้องประชาธิปไตยจากเผด็จการฟาสซิสต์พธม.
ก่อนหน้านั้น เมื่อวันที่26พ.ย.คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแหงเอเชียออกแถลงการณ์ชี้ว่า ความเสียหายที่จะเกิดขึ้นจากน้ำมือของพันธมิตรฯ จะมากมหาศาลกว่าความเสียหายใดๆ ก็ตามที่เกิดจากรัฐบาลทักษิณ ชินวัตร ที่ถูกโค่นล้มไป และจะสามารถสร้างหายนะได้มากกว่าการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 และการฉีกรัฐธรรมนูญ 2540 เสียอีก
คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียยังได้ เรียกร้องให้ทั้งโลกให้ความสนใจต่อเหตุการณ์ในประเทศไทย ที่ได้ดำเนินมาหลายเดือนโดยแทบไม่มีปฏิกริยาใดๆ จากองค์กรระหว่างประเทศเลย โดยเฉพาะสหประชาชาติ หลังจากลังเลกับการรัฐประหาร 19 กันยามาแล้ว คราวนี้ประชาคมโลกไม่สามารถปล่อยเลยตามเลยโดยปราศจากการแทรกแซงได้อีกแล้ว
"พันธมิตรฯ ยึดอุดมการณ์ขวาจัดที่เป็นอุดมการณ์ขับเคลื่อนระบอบอมาตยาธิปไตยมายาวนานหลายทศวรรษ อันเป็นระบอบที่ถูกคุกคามถอยร่นมากขึ้นเรื่อยๆ จากการเปลี่ยนแปลงทางสังคมและการเมืองในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมา การบุกยึดและโจมตีที่ทำอย่างเป็นกระบวนการโดยใช้ข้ออ้างการป้องกันตนเองและการทำเพื่อชาตินั้นเป็นการวางแผนเพื่อให้เกิดความระส่ำระสายในวงกว้าง และเปิดทางให้กลุ่มอภิชนปฏิกริยาพาประเทศไทยกลับสู่ระบอบประชาธิปไตยครึ่งใบแบบเมื่อยี่สิบกว่าปีก่อน
"คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งเอเชียระบุในแถลงการณ์ตอนหนึ่ง