เปิดกรุความชั่วไร้ที่ติ นายสนธิ คราบนักบุญคนบาป ตอนที่1 ไม่รู้คนมันทำเวรกรรมอะไรมากมายน้ำลดตอพุด วันวันไม่อยากตามหาล่าความจริง แต่เจอภูเขาน้ำแข็งอีกลูกเลยต้องผ่องถ่ายบทความดีๆๆชั่วๆๆ มาลอกคราบนักบุญคนบาปหน้าเดิม คนกู้ชาติกู้ผ่อนกู้หนี้ยืมสินล้นพ้นตัว อาศัยร่มเงาประกาศสงครามแย่งชิง ‘ความจงรักภักดี' ยืมมือที่มองไม่เห็นบวกเท้าที่มองไม่เห็น ก่อนจมน้ำตายทางธุรกรรมหาคนช่วยทีตะโกนลั่นเมืองขึ้นเครือข่ายพันธมิตร ก่อนทันทีวาทะ 'ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง' ผูกเดินเรื่องความชั่วไร้ที่ติ ซึ่งมีมิตรรักแฟน Hi-thaksin ได้นำมาโพสต์ไว้ในกระทู้โดยใช้นามแฝงว่า Guest_sss ซึ่งเห็นว่ามีสาระที่น่าสนใจ จึงขอนำมาขยายความ เพื่อให้ท่านได้ติดตามอ่านที่มาที่เป็นไปของนายสนธิ
***วาทะ "ตายเป็นตาย" ของนายสนธิ***
หากเอ่ยชื่อ "สนธิ ลิ้มทองกุล" ณ วันนี้ คนไทยทุกหมู่เหล่าต่างรู้จักมักคุ้น ทั้งที่ในวงการสื่อสารมวลชนและวงการนักธุรกิจการเมืองต่างรู้จักบุคคลคนนี้ดีอย่างยิ่ง ว่าเขาเคยได้รับการเกื้อหนุนอย่างดีจากคนที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่กับสาธารณชนรู้จักเขาในฐานะสื่อมวลชนคนหนึ่งเท่านั้น
เขาเป็นใครมาจากไหน ใยถึงมาออกรายการด่ารายวันรายสัปดาห์ จนถึงขั้นหวังโค่นอำนาจ พ.ต.ท.ทักษิณ แล้วขยี้ซ้ำแบบไม่เผาผีเช่นนี้ เรามาย้อนอดีตและเปิดกรุธุรกรรมของ เขาดูหน่อยบ้างเป็นไร
***ชื่อเดิม นายตั๊บ แซ่ลิ้ม***
นายสนธิ ลิ้มทองกุล มีชื่อจีนว่า "ตั้บ แซ่ลิ้ม" เกิดเมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2490 ระหว่างศึกษาอยู่ที่สหรัฐฯ เพื่อนฝูงมักเรียกนายสนธิว่า "SONDY" ภายหลังสำเร็จการศึกษา นายสนธิ เดินทางกลับประเทศไทย เมื่อปี 2516 และแต่งงานกับผู้ช่วยศาสตราจารย์จาก มศว.ประสานมิตร "แต่ปัจจุบันแยกกันอยู่ จะพบปะกันบ้างเป็นบางโอกาส เช่น เมื่อบุตรชายของทั้งคู่ ซึ่งขณะนี้กำลังเรียนอยู่สหรัฐฯ เดินทางกลับมาเยี่ยมบ้าน"
นายสนธิเข้าทำงานเป็นบรรณาธิการบริหาร หนังสือพิมพ์ประชาธิปไตย เมื่ออายุเพียง 27 ปี นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับ นายพล สิทธิอำนวย ตั้งบริษัท Advance Media ในเครือพีเอส กรุ๊ป ออกนิตยสารดิฉัน แต่ประสบกับภาวะขาดทุน จึงขายให้กับ นายปีย์ มาลากุล ณ อยุธยา แต่แล้วนายสนธิก็กลับมาโดดเด่นอีกครั้งด้วยการตั้ง บริษัท ตะวันออกแมกกาซีน ออกหนังสือผู้จัดการรายเดือน เมื่อปี 2526 และผู้จัดการรายสัปดาห์ จากความสำเร็จในการเป็นหนังสือแนวธุรกิจชั้นนำของผู้จัดการรายเดือนและรายสัปดาห์ ทำให้นายสนธินำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เมื่อปี 2533 พร้อมกับออกหนังสือพิมพ์ผู้จัดการรายวันตามมา
***ผูกขาดขาย Nokia แต่เพียงผู้เดียว***
ต่อมานายสนธิสามารถเข้าเทคโอเวอร์บริษัทลูกของปูนซีเมนต์ไทย ก็คือ บริษัท เอสซีทีคอมพิวเตอร์ จำกัด บริษัทไมโครเนติก จำกัด และบริษัท อินเตอร์เนชั่นแนล เอ็นจิเนียริ่ง (ไออีซี) จำกัด ซึ่งต่อมาบริษัท ไออีซี เป็นบริษัทที่ทำกำไรให้กับนายสนธิอย่างต่อเนื่อง เนื่องจาก บริษัท ไออีซี เป็นบริษัทผูกขาดการขายโทรศัพท์มือถือยี่ห้อโนเกีย ระบบเซลลูล่า 900 แต่เพียงผู้เดียว
***ลงทุนดาวเทียมลาวสตาร์ในลาว***
นายสนธิไม่ได้จำกัดอยู่เพียงแต่การทำธุรกิจสิ่งพิมพ์ในประเทศเท่านั้น เขายังได้ขยายตัวออกไปลงทุนทำหนังสือพิมพ์ "เอเชียไทม์" โดยตั้งฐานผลิตที่ฮ่องกงอีกด้วย พร้อมกับเปลี่ยนชื่อบริษัทใหม่เป็น บริษัท แมเนเจอร์มีเดีย กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ เอ็ม กรุ๊ป เมื่อ 22 พ.ย. 2537 เพื่อเป็นศูนย์กลางในการบริหารงานบริษัทในเครือ จากนั้นเริ่มขยายไปสู่วงการโทรคมนาคมในต่างประเทศ เข้าไปลงทุนในโครงการดาวเทียมลาวสตาร์ ชื่อบริษัท ABCN ที่เป็นบริษัทในเครือ ซึ่งได้รับสัมปทานจากประเทศลาว พร้อมๆ กับเริ่มรุกทำกิจการโรงแรมในลาว และร้านอาหารในจีน
จากการขยายตัวอย่างไร้ทิศทาง การพยากรณ์ธุรกิจอย่างผิดพลาด นำมาสู่สภาพธุรกิจที่ตกต่ำ นับตั้งแต่ปลายปี 2539 ทำให้นายสนธิต้องขายธุรกิจในเครือ เพื่อนำเงินมาชำระหนี้ รวมทั้งโครงการดาวเทียมลาวสตาร์ที่ขายให้กับกลุ่มยูคอม แต่นายสนธิยังมีหนี้สินอีกจำนวนมาก โดยเฉพาะเมื่อ พ.ย. 2542 ธนาคารนครหลวงไทย ได้ยื่นฟ้องนายสนธิ และบริษัท เอ็ม กรุ๊ป ให้เป็นบุคคลล้มละลาย เพราะไม่สามารถชำระหนี้ให้กับธนาคารได้จำนวน 150 ล้านบาท จนกระทั่งศาลได้มีคำสั่งให้นายสนธิ และบริษัท เอ็ม กรุ๊ป เป็นบุคคลล้มละลายไปในที่สุด
ต่อมา นายสนธิยังคงเป็นผู้อยู่เบื้องหลังในการบริหารหนังสือพิมพ์ในเครือที่เหลือเพียง 3 ฉบับ คือ ผู้จัดการรายเดือน ผู้จัดการรายสัปดาห์ และผู้จัดการรายวัน ซึ่งนายสนธิถือว่าเป็นหัวใจหลักที่จะต้องคงไว้และดำเนินการต่อไป แม้จะไม่มีตำแหน่งใดๆ แล้ว นายสนธิมีเครือข่ายความสนิทสนมกับบุคคลในกลุ่มนักการเมือง นักธุรกิจ นักวิชาการ และข้าราชการจำนวนมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับ นายศิรินทร์ฯ และนายธารินทร์ฯ โดยนายสนธิได้รับความช่วยเหลือด้านเงินกู้จากธนาคารกรุงไทย เพื่อมาพยุงฐานะธุรกิจตลอดเวลาในช่วงที่นายศิรินทร์เป็นกรรมการผู้จัดการใหญ่ โดยเมื่อ พ.ย. 2542 บริษัท Price water house Coopers ซึ่งเป็นบริษัทที่ปรึกษาที่ธนาคารกรุงไทยว่าจ้างมาปรับปรุงโครงการตรวจสอบภายใน ระบุว่า บจ.เอ็ม กรุ๊ป มีหนี้สินอยู่กับธนาคารกรุงไทย จำนวน 2,123 ล้านบาท เป็นหนี้เสีย (NPL) เพราะเป็นการปล่อยสินเชื่อโดยอาศัยความสัมพันธ์ส่วนตัว ทั้งที่ไม่มีหลักทรัพย์ใดๆ มาค้ำประกัน
***เปลือยธารินทร์***
ไม่นานนัก นายสนธิจึงได้เขียนบทความต่างๆ รวมทั้งออกหนังสือชื่อ "เปลือยธารินทร์" โจมตีการแก้ไขปัญหาเศรษฐกิจ และเรื่องส่วนตัวของนายธารินทร์ฯ อยู่โดยตลอดมา จนเป็นข้อสงสัยต่อสาธารณชน อาจจะเป็นเรื่องไม่พอใจที่นายธารินทร์ไม่ยอมช่วยเหลือแก้ไขปัญหาทางธุรกิจให้
***ลงทุนทำโรงแรมที่ลาวร่วมกับบัญญัติ บรรทัดฐาน***
กระนั้น นายสนธิก็ยังมีความสัมพันธ์กับนายบัญญัติ บรรทัดฐาน เนื่องจากอดีตภรรยาของนายสนธิเป็นญาติของนายบัญญัติ ทั้งนายสนธิกับนายบัญญัติเคยลงทุนทำธุรกิจโรงแรมด้วยกันที่ประเทศลาว มีการพบปะแลกเปลี่ยนข้อมูลข่าวสารกันเป็นประจำระหว่างช่วงสมัยรัฐบาลชวน ๒ นายสนธิมีความใกล้ชิดสนิทสนมกับนายธารินทร์มาก่อน ตอนแรกก็ดีกัน แต่ต่อมาเกิดความขัดแย้งระหว่างกันอย่างรุนแรง โดยนายสนธิอ้างว่าเป็นความขัดแย้งกันทางความคิดในการแก้ปัญหาวิกฤติเศรษฐกิจของประเทศ จากนั้นจึงพุ่งเป้าโจมตีนายธารินทร์อย่างรุนแรงยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ในช่วง ๒ ปีหลังของรัฐบาลชวน ๒ ทั้งผ่านทางวิทยุ และหนังสือพิมพ์ต่างๆ ในเครือผู้จัดการ โดยใช้ชื่อว่า พายัพ พนาสุวรรณ มีการทำเทปออกขาย ปรากฏความตอนหนึ่งว่า นายสนธิกล่าวหานายธารินทร์ว่า กระทำการอันเป็นการหมิ่นพระบรมราชานุภาพ ทำให้นายธารินทร์ต้องฟ้องร้องนายสนธิในข้อหาหมิ่นประมาท เรื่องยังอยู่ในศาลจนถึงปัจจุบันนี้
***เกาะรัฐบาลทักษิณ ๑***
ขณะที่ในช่วงรัฐบาลทักษิณ ๑ เมื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรกนั้น ก็ได้ดึงเอานายสนธิมาร่วมงานด้วย เพราะเขารู้จักกับคนในรัฐบาลหลายคน ต่อมาในช่วงรัฐบาลทักษิณ ๒ เกิดการขัดแย้งระหว่างนายสนธิกับรัฐบาลอย่างรุนแรง สาเหตุที่แท้จริงไม่ทราบว่าด้วยเรื่องอะไร แต่บางคนอ้างว่า เพราะนายสนธิลงทุนไปซื้ออุปกรณ์ในการทำโทรทัศน์เสรีมาแล้วเป็นพันล้านบาท แต่กลับไม่ได้ช่องมาทำ ก็เลยหันมาโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ในแบบเดียวกันกับที่เคยโจมตีนายธารินทร์สำเร็จมาแล้ว
***ฟอกเงินที่หมู่เกาะเวอร์จินไอส์แลนด์***
ไม่เพียงเท่านั้น ข้อสงสัยประการสำคัญที่มีต่อนายสนธิกับหมู่เกาะในสหรัฐอเมริกาที่ขึ้นชื่อในประเด็นที่ถูกมองว่าเป็นหมู่เกาะของนักฟอกเงิน นั่นคือ หมู่เกาะ The British Virgin Island
มีหลายฝ่ายต่างแฉข้อมูลของนายสนธิ จนกลายเป็นข้อกล่าวหาที่สาธารชนจะต้องนำมาเป็นฐานข้อมูลในการพิจารณาด้วยเช่นกัน ประเด็นกล่าวหานายสนธิมีอยู่ว่า ไปจดทะเบียนบริษัท Manager International Holding Company Limited ที่หมู่เกาะ The British Virgin Island นี้ ด้วยเงินเพียงแค่ 1,000 เหรียญสหรัฐ แต่กลับนำมาขายให้ บริษัท เมเนเจอร์ มีเดีย (มหาชน) ซึ่งเป็นของผู้ถือหุ้นทุกคน ด้วยเงินถึง 7,228,000 เหรียญสหรัฐ ประเด็นก็คือ ส่วนต่าง 200 ล้านบาทนี้ หายไปอยู่กระเป๋าใคร
***เงิน ๗๐๐ ล้านหายไปไหน***
นอกจากนั้น เงินที่ บริษัทเมเนเจอร์ให้บริษัทนี้ยืมไปอีก 700 ล้านบาท หายไปไหน
ข้อสงสัยจนกลายเป็นข้อกล่าวหาต่อมา คือทำไมมีการเปิดบริษัทส่วนตัว ที่ชื่อ เวิลด์ไวด์ มีเดีย ซึ่งก็ตั้งอยู่บนถนนพระอาทิตย์ เพื่อรับเงินค่าโฆษณาแทนบริษัทมหาชน และทำไมบริษัทนี้ไม่ยอมจ่ายเงินคืนให้บริษัทซึ่งเป็นของมหาชน ทั้งที่รับเงินมา 2-3 ปีแล้ว ข้อกล่าวหาอีกประเด็นหนึ่งคือ ทำไมบริษัท เมเนเจอร์ มีเดีย (มหาชน) ถึงยังให้บริษัทนี้หาโฆษณา และรับเงินแทนอยู่ ทั้งที่ก็รู้ว่าบริษัทนี้ยังไม่โอนเงินเข้าบริษัท เมเนเจอร์ฯ มาเป็นปีแล้ว
นอกจากนั้น ทำให้เกิดข้อสงสัยตามมาว่า ทำไมบริษัทเมเนเจอร์ มีเดีย ถึงนับยอดรายได้โฆษณาที่น่าจะได้จากบริษัท เวิลด์ไวด์ มีเดีย เป็นหนี้ที่สงสัยจะสูญในทันที จนมีผลทำให้ผลประกอบการรวมของบริษัท เมเนเจอร์ มีเดีย ซึ่งควรจะเป็นกำไร กลายเป็นขาดทุน จนเป็นที่มาของข้อสงสัยกรณีผู้ตรวจสอบบัญชีที่บริษัท เมเนเจอร์ มีเดียจ้างเอง ไม่ยอมเซ็นรับรองบริษัทเมเนเจอร์ มีเดีย หลายไตรมาสติดต่อกัน
***เจิมศักดิ์แฉลดหนี้จาก ๒๐,๐๐๐ ล้านเหลือ ๖,๐๐๐ ล้าน***
อีกประเด็นหนึ่งที่เป็นข้อสงสัยตลอดมา คือประเด็นหลังจากที่นายเจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และกลุ่มเนชั่นออกมาปูดข่าวว่า รัฐบาลทักษิณช่วยลดหนี้ของกลุ่มผู้จัดการ จาก 20,000 ล้านบาท เหลือแค่ 6,000 ล้านบาท ในปี 2545 แล้วนายสนธิและกลุ่มผู้จัดการได้รับการลดหนี้จากสถาบันการเงินของรัฐอีกกี่ครั้ง ต่อมานายสนธิออกมาปฏิเสธว่า กลุ่มผู้จัดการมีหนี้อยู่ในขณะนั้น 8,000 กว่าล้านบาท ไม่ใช่ 20,000 ล้านบาทตามที่นายเจิมศักดิ์กล่าวหา
ในยุคหนึ่งขณะที่นายวิโรจน์ นวลแข ทำงานที่ธนาคารกรุงไทย มีข้อกล่าวหาว่า ทำไมนายสนธิถึงได้รับการลดหนี้ที่เคยลดมาแล้วอีก จาก 1,421.73 ล้านบาท เหลือเพียงแค่ 259 ล้านบาท และทำไมธนาคารกรุงไทยถึงขนาดยอมให้นายสนธิไม่ต้องจ่ายคืนเป็นเงินสด โดยยอมกระทั่งให้ใช้คืนเป็นค่าโฆษณาราคาแพง จนเราได้เห็นโฆษณาชุดผู้ใหญ่ลีที่มีค่าแอร์ไทม์ครั้งละหลายแสนบาท อย่างถี่ยิบ จนเป็นคำถามว่า ธนาคารของรัฐอย่างธนาคารกรุงไทย มีความจำเป็นต้องโฆษณาตัวเองกับสื่อของนายสนธิแค่ที่เดียว เป็นร้อยๆ ล้านบาทเลยหรือ (จากข้อมูลที่กลุ่มผู้จัดการทำส่งให้ตลาดหลักทรัพย์ ในปี 2547 ดูข้อมูลได้ที่ตลาดหลักทรัพย์)
***ปลุกระดมมวลชนเพื่อแก้วิกฤตการเงินของตัวเอง***
ด้วยข้อสงสัยและข้อกล่าวหาหลายประการ จึงนำมาสู่ประเด็นที่ว่า การที่นายสนธิออกมาปลุกระดมมวลชนอย่างเอาเป็นเอาตาย สาเหตุเบื้องต้น เกิดจากกลุ่มผู้จัดการกำลังเกิดวิกฤติทางการเงิน ซึ่งถ้าไม่ได้อำนาจรัฐหรือกลุ่มทุนเข้าช่วยเหลือ อาจถึงขั้นปิดตัวเองเลยใช่หรือไม่ และอะไรที่ทำให้นายสนธิ อุทานว่า
"ตายเป็นตาย เจ๊งเป็นเจ๊ง"
ประเด็นที่เป็นเงื่อนตาย ที่ยากจะปลดล็อกคือ กรณีคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้ออกกฎมานานแล้วว่า จะถอดถอนบริษัทซึ่งอยู่ในหมวดฟื้นฟูของตลาดหลักทรัพย์ และมีหุ้นส่วนของผู้ถือหุ้นติดลบ ออกจากตลาดหลักทรัพย์ ภายในเดือนมีนาคม 2549 และประเด็น ศาลล้มละลายกลาง ได้ยินยอมขยายเวลาแผนฟื้นฟูของบริษัทเมเนเจอร์มีเดียออกไปจากเดิมสิ้นสุดวันที่ 26 กรกฏาคม 2548 กลายเป็นสิ้นสุดวันที่ 3 สิงหาคม 2549 เพื่อให้บริษัทเมเนเจอร์มีเดียหาผู้ร่วมทุนใหม่มูลค่า 350 ล้านบาทให้ได้ทันตามกำหนด
ถ้ากลุ่มผู้จัดการหาเงินเพิ่มทุน 350 ล้านบาทไม่ได้ภายในเดือนมีนาคม หรือไม่มีอินไซเดอร์ใน ก.ล.ต.ให้เปลี่ยนแปลงหรือผ่อนผันกฎ บริษัทเมเนเจอร์มีเดียมีสิทธิจะโดนถอดออกจากตลาดหลักทรัพย์
ถ้ายังไม่ได้เงินก่อนเดือนสิงหาคม 2549 และศาลไม่ยินยอมให้ขยายเวลาแผนฟื้นฟูบริษัทอีก บริษัท เมเนเจอร์ก็อาจจะต้องปิดตัวเองลงภายในปี 2549
....จึงเป็นที่มาของคำว่า "ตายเป็นตาย" ของนายสนธิ
คืนรัง
จาก hi-thaksin