รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ย้ำไม่มีเจตนาพาดพิงสถาบันกรณีปาฐกถาที่สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศ เผยเตรียมแปลข้อความดังกล่าวเผยแพร่ เพื่อหลักฐานต่อสาธารณชน และฝ่ายสอบสวน คาดประมาณต้นสัปดาห์หน้าเสร็จ วันนี้(15 พ.ค.) นายจักรภพ เพ็ญแข รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวชี้แจงกรณีไปบรรยายกับผู้สื่อข่าวต่างประเทศ ว่า คำบรรยายของตนที่เป็นข่าวในขณะนี้ เพิ่งนึกได้หลายคนนำเรื่องนี้มาพูดคล้ายกับว่าตนเพิ่งจะไปบรรยายเมื่อตอนเป็นรัฐมนตรีแล้ว แต่ความจริงเรื่องนี้มาบรรยายมาปีกว่าแล้ว ซึ่งเป็นช่วงที่ต่อสู้กับฝ่ายเผด็จการที่ท้องสนามหลวง สโมสรผู้สื่อข่าวต่างประเทศเขาเชิญไป เพราะอยากรู้ว่าคนที่ร่วมต่อสู้กับประชาชนเพื่อประชาธิปไตย คิดอย่างไรเกี่ยวกับสังคมไทย เลยไปวิเคราะห์เกี่ยวกับระบบอุปถัมภ์เรื่องของสังคม
“ขอย้ำอีกทีว่าเรื่องที่ไปบรรยายนี้ ไม่ได้มีเจตนาหรือเกี่ยวข้องกับสถาบันระดับสูงเลย เป็นเรื่องการวิเคราะห์ทางสังคม เป็นการพูดมาปีกว่าแล้ว เป็นของเก่า ที่มีคนนำกลับมาทำใหม่ ตรงนี้ผมนึกขึ้นได้เพราะ ญาติมิตรหลายคนถามมมาว่าเป็นรัฐมนตรีแล้ว ทำไมไปบรรยายอะไร เลยบอกว่าเปล่า เรื่องนี้เป็นของเก่าปีเศษมาแล้ว พูดในอีกบรรยากาศหนึ่งด้วย เมื่อเรามาเป็นแล้ว การพูดการจาต้องต่างกันไป ความคิดต่างๆ อาจไม่เปลี่ยนแปลง แต่ท่าทีจะต้องเป็นไปเพื่อความสมานฉันท์ เป็นไปเพื่อความราบรื่นในการทำงานของบ้านเมือง
ฉะนั้นเรื่องนี้อยากจะขอเรียนผ่านพี่น้องสื่อมวลชนไว้ให้เข้าใจตรงนี้ เดี่ยวจะนึกไปว่าทำไมมาทำหน้าที่นี้แล้วยังไปพูดจาอะไรแบบนั้น ขอให้รู้ว่าเป็นบรรยากาศอีกอย่างหนึ่ง และเป็นเวลาปีกว่าแล้วที่ไปพูด” นายจักรภพกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่ากลุ่มพันธมิตรออกแถลงการณ์ประณามรัฐบาลสร้างเงื่อนไขการปฏิวัติ ไม่ว่าจะเป็นการจาบจ้วงสถาบัน การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และล่าสุดเรื่องปัญหาปากป้อง มีหลายสาเหตุ และระบุว่ามีรัฐมนตรีที่มีทัศนคติอันตรายเข้ามาบริหารประเทศ นายจักรภพ ถามกลับว่า พันธมิตรฯพูดหรือประชาธิปัตย์พูดกันแน่
นายจักรภพ กล่าวว่า รัฐบาลมุ่งหน้าทำงานอย่างเดียว แต่เมื่อมีข่าวคราวว่าประชาธิปไตยอาจจะไม่ปลอดภัยเราก็ต้องมาบอกข่าวกันไว้ก่อน หากทุกอย่างเป็นไปอย่างที่กองทัพว่าไม่มีใครคิดอย่างนี้ ไม่มีความเคลื่อนไหวแบบนี้ ทุกคนก็อุ่นใจสบาย อย่าลืมว่าที่มานั่งพูดถึงความเคลื่อนไหวทางทหาร เพราะมันเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 19 ก.ย.2549 เมื่อเกิดขึ้นมาแล้ว คนก็เข้าใจว่าอาจจะเกิดขึ้นอีก ตรงนี้เป็นความเข้าใจที่ไม่ดีต่อบ้านเมือง ฉะนั้นเมื่อมีความเคลื่อนไหวขึ้นมา แล้วมีคนชี้เรื่องนี้ต้องถามกลับไปว่าแล้วอะไรที่คนเชื่อว่ามันจะมีได้ คำตอบคือเพราะมันเคยเกิดขึ้นมาแล้ว ในอดีตเมื่อไม่กี่ปีนี้เอง ฉะนั้นเราต้องเดินหน้าร่วมกันระหว่างรัฐบาลกับผู้นำกองทัพที่จะทำอย่างไรก็ได้ เพื่อไม่ทำให้เกิดบรรยากาศที่คนเชื่อว่าจะมีเรื่องแบบนี้ได้อีก
“ผมเองหวังใจว่าผู้นำกองทัพ โดยเฉพาะ ผบ.ทบ. พล.อ.อนุพงศ์ เผ่าจินดา นั้นท่านเข้าใจปัญหาบ้านเมืองอย่างลึกซึ่งและมีความยับยั้งชั่งใจในการให้ความเห็นตลอดมา ผมคิดว่าเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ดี เป็นแนวโน้มที่ชี้ว่าการที่รัฐบาลกับผู้นำกองทัพร่วมกันเพื่อจะบอกว่าบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย ไม่มีแนวทางอื่น ครรลองอื่น”นายจักรภพกล่าว
นายจักรภพ กล่าวว่า เราต้องไม่ทำให้เกิดปัญหาขึ้น อันดับแรกคือนโยบายมวลชนปะทะมวลชนต้องไม่มี รัฐบาลมุ่งหน้าทำงานให้เกิดผลงานให้ประชาชนพอใจและมีความสุขขึ้นแก้ปัญหาเร่งด่วน และเราจะต้องสร้างสมดุลย์ในวงการสื่อสารมวลชน นั่นคือมีความเห็นทุกฝ่ายในการแสดงความเห็นเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ไม่เอียงฝ่ายใด ไม่สนับสนุนเฉพาะด้านใดด้านหนึ่ง ตรงนี้จะเป็นมาตรการป้องกันเรื่องเหล่านี้ได้ดี
เมื่อถามว่ารู้สึกอย่างไรกับแนวคิดตัวเอง ที่นำเสนอออกมาแล้วมีเสียงวิจารณ์ตามมา นายจักรภพ กล่าวว่า แสดงว่าตนทำงานแนวความคิดหลายอย่างมาจากแนวนโยบาย ในการทำงานโดยตรงเช่น การเชื่อมความสัมพันธ์สื่อสารมวลชนใหม่ๆ ในบ้านเมือง แม้จะไม่ได้ก้าวล่วงไปเป็นการออกใบอนุญาต หรือการสนับสนุนให้กระทำการต่างๆ ทั้งการปรับเปลี่ยนตัวบุคคลในหน่วยงานที่ดูแล และการแสดงความเห็น หรือขีดขั้นความเป็นสื่อมวลชนภาครัฐ
ทั้งหมดเป็นงานในหน้าที่ความรับผิดชอบของตนทั้งสิ้น ไม่ได้ทำอะไรนอกเหนือหน้าที่ความรับผิดชอบที่ได้รับมา คำถามคือเราจะประเมินผลงานของรัฐมนตรีแต่ละคนตามผลงานจริงๆ หรือจะประเมินจากอคติ เรื่องต่างๆ ไม่ได้อยู่ที่การตีความอย่างเดียว อยู่ที่การจ้องจะตีกันหรือเปล่า จ้องให้เกิดความลำบากเดือดร้อนหรือเปล่า
“ตัวผมรับได้สบายมาก ไม่มีปัญหาเลย ทุกวันนี้ทำงานตั้งแต่เช้าจดดึก และจะมุ่งหน้าทำงานอย่างนี้ต่อเนื่องไป ฉะนั้นใครที่มีหน้าที่เล่นการเมือง ก็เล่นไป ผมมีหน้าที่ทำงานในฐานะผู้รับใช้บ้านเมืองคนหนึ่ง”นายจักรภพ กล่าว เมื่อถามว่าคำแปลเอกสารล้มเลิกแล้วหรือไม่
นายจักรภพ กล่าวว่า ยังแปลอยู่ที่ต้องแปลช้าหน่อยเพราะอยากให้เกิดความพิถีพิถัน และขอบอกว่าตนแปลเองส่วนใหญ่ เพราะต้องการให้ถูกต้องตามเจตนาของผู้พูดจริงๆ และที่พูดเมื่อปีที่แล้วไม่ได้มีบทพูด เป็นการพูดสด จึงต้องมีการนำเทปมาถอดเป็นตัวอักษร และนำตัวอักษรมาแปลอีกครั้งเลยใช้เวลานาน เรื่องนี้จะต้องทำให้ได้ ไม่มีแผนเลิกแปลเป็นอันขาด จะต้องแปลต่อเนื่องเพื่อนำมาเป็นหลักฐานต่อสาธารณชน และฝ่ายสอบสวน ประมาณต้นสัปดาห์หน้าคงเสร็จ