พปช.พรรคใหญ่แต่หลายก๊กหลายกลุ่ม วันนี้ยังไม่มีใครชี้นำเด็ดขาด นโยบายก็ต้องว่ากันคนละเพลงสองเพลงไม่สอดรับกัน คงต้องพึ่ง 111ทรท. ที่ล้วนครบเครื่องเปิดช่องให้ร่วมคิดร่วมแจมได้ ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้ บริหารประเทศมา 3 เดือน แต่ดูเหมือนว่ายังจับอะไรไม่เป็นชิ้นอัน ผลงานมันก็เลยไม่แจ่มกระจ่าง ตรงกันข้ามกลับมีปัญหาหลายเรื่องหลายราวผุดออกมาเรื่อยๆ ล่าสุด นายกฯเปิดเมนูอาหารอิตาเลียนเลี้ยงบรรดาหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาล ที่ภัตตาคารชื่อดัง นับว่าเป็นครั้งแรกที่ได้มาเจอกันหลังทำงานร่วมกันมา ต่อไปหัวหน้าพรรคร่วมก็จะทยอยเป็นเจ้าภาพในช่วงห่าง 2 เดือนครั้ง นัดต่อไปเป็นคิวของ “บรรหาร ศิลปอาชา” หัวหน้าพรรคชาติไทย พบกันเจอกันระหว่างพรรครัฐบาลน่าจะเป็นเรื่องที่ดี เพราะหากมีปัญหาก็ช่วยกันแก้ไขได้และทันที ข้อสำคัญต้องฟังกันด้วย เพราะทุกพรรคจะต้องรับผิดชอบร่วมกัน การพบกันครั้งนี้มีประเด็นสำคัญอยู่ที่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และข่าวปฏิวัติรัฐประหาร ซึ่งนายกฯได้พูดว่าเท่าที่พบกับผู้นำทหารไม่มีปัญหา เข้าใจกันดี ไม่มีปฏิวัติ เรียกว่าเอาหัวตัวเองเป็นประกันเลยทีเดียว นั่นน่าจะให้คำตอบว่านายกฯมีศักยภาพพอที่จะคุมสถานการณ์ได้ อีกเรื่องใหญ่คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ปรากฏว่าไม่มีการพูดถึงมากนัก เพราะนายกฯ ไปได้กลยุทธ์ใหม่แต่เป็นลีลาเก่า คือโยนให้เป็นเรื่อง “สภา” รัฐบาลไม่เกี่ยว เรียกว่าแยก 2 วิญญาณในร่างเดียวกัน ส่วนจะเอายังไง ว่ากันยังไง 316 เสียง คงนำพาไปได้ด้วยเสียงข้างมาก พลังประชาชนไม่เกี่ยว นายกฯไม่เกี่ยว ส.ส.ไม่เกี่ยว รัฐบาลไม่เกี่ยว ก็ไม่รู้ว่าเป็น “ไอเดีย” ใคร? เหนืออื่นใด ในสถานการณ์การเมืองที่เป็นอยู่ ก็มีเรื่องมีราวกระทบต่อเสถียรภาพ การลาออกจากตำแหน่งประธานสภาผู้แทนฯ ของนายยงยุทธ ติยะไพรัช ซึ่งก็ต้องหาคนใหม่มาแทน “ชัย ชิดชอบ” แข่งกับ “สมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์” มีแต่กองเชียร์ที่ตั้งท่าสู้รบตบมือ แต่เอาเข้าจริงก็มีการ “หักดิบ” กันตามระเบียบ ให้กรรมการบริหารมีมติให้ “ชัย ชิดชอบ” นั่งเก้าอี้ประธานฯ แบบไม่มีแคนดิเดต เพราะหากให้มีการเสนอชื่อ “โหวต” พรรคอาจแตกได้ ก็เลยต้อง “ทุบโต๊ะ” กันตามระเบียบ จึงสงบลงไปได้ แต่ยังมีปัญหารัฐมนตรีอีกส่วนหนึ่งที่คุณสมบัติไม่ถูกต้อง และกำลังดำเนินการตามขั้นตอนของกฎหมาย แต่อีกคนได้ยื่นใบลาออกแล้ว “สุธา ชันแสง” ที่มีปัญหาอยู่หลายเรื่อง ก็ต้องดูว่าจะปรับ ครม.แบบไหน อย่างไร เชื่อว่าน่าจะปรับเล็ก เพื่อไม่ให้กระเพื่อม เนื่องจากมีการจ้องกันตาเป็นมันอยู่แล้ว “พลังประชาชน” แม้จะเป็นพรรคใหญ่ มีศูนย์กลางอยู่ที่คนเพียงคนเดียว หัวหน้าพรรคคนปัจจุบันก็ไม่ได้คลุกคลีกับลูกพรรคมากนัก การขับเคลื่อนของพรรคจึงเกิดปัญหาว่ากันคนละทางสองทาง และนายกฯก็ต้องประนีประนอมและเดินตามเป้าหมาย ถามว่าใครนำพรรคตอนนี้ ไม่มีและไม่ชัดเจน อยู่ที่ใครจะมีแรงส่งมากก็จะกระโดดโลดเต้นมากกว่าคนอื่นๆ ยิ่งเรื่อง “นโยบาย” ก็ยิ่งมีปัญหา เพราะต่างคนต่างทำ ไม่สอดรับกัน และไม่มีบุคคลหรือคณะคอยชี้ทิศทาง ว่ากันว่าเลยมีไอเดียใหม่ให้ 111 นักการเมือง ที่ถูกเว้นวรรค เข้ามามีบทบาทในเชิงนโยบายและกุมทิศทาง แต่เผอิญที่ว่ามีคำสั่งห้ามยุ่งการเมืองโดยตรง จึงลอยเคว้งมาเป็นเวลายาวนาน ครานี้ดูจะได้ฤกษ์เมื่อมีการตั้งมูลนิธิฯ 111 ไทยรักไทย เพื่อการกุศล แต่ไหนๆ มาเจอกันแล้วก็คิด “นโยบาย” ให้รัฐบาลก็แล้วกัน...ว่างั้นเถอะ!!! "ลิขิต จงสกุล"