ถ้าพรรคประชาธิปัตย์จะไม่ได้มองว่า จตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส. ระบบสัดส่วน พรรคพลังประชาชน เป็นศัตรู
ก็ต้องถือว่า “คำเตือนสติ” ของ จตุพร ที่ส่งถึงพรรคโดยตรงนั้น เต็มไปด้วยเหตุผลน่าฟังอย่างยิ่ง!
สมควรอย่างยิ่งให้คนในพรรคประชาธิปัตย์ต้องเก็บกลับไปทบทวนความคิด
จตุพร เตือนให้พรรคประชาธิปัตย์ได้หวนคิดถึงความผิดแต่ครั้งอดีต ที่เคยจ้างคนไปตะโกนในโรงหนัง ใส่ร้าย ปรีดี พนมยงค์ ด้วยข้อหาร้ายแรงที่สุดเท่าที่พลเมืองไทยคนหนึ่งจะได้รับ
นั่นคือ กล่าวหาว่าเกี่ยวพันกับ “คดีสวรรคตของในหลวงรัชกาลที่ 8”
จนในที่สุด ปรีดี ต้องหนีออกนอกประเทศ ไปตายที่ฝรั่งเศส ได้กลับคืนสู่มาตุภูมิก็แต่เพียงเถ้ากระดูก
แม้ต่อมา เรื่องราวได้รับการชำระว่าแท้จริงเป็น “ผู้บริสุทธิ์” องค์การยูเนสโกยังถึงกับต้องขึ้นชื่อให้เป็นบุคคลสำคัญของโลก...
แต่ก็อย่างที่ จตุพร ว่าไว้นั่นแหละ เมื่อชีวิตดับสิ้นไปแล้ว ยังจะมีประโยชน์อะไร
นายปรีดี พนมยงค์ ไม่ได้เป็นเพียงผู้ประศาสน์การ และไม่ได้เป็นแต่เพียงผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญทางการเมือง ซึ่งจะหมดวาระการทำงานไปตามยุคสมัย
หากแต่ ปรีดี เป็นถึงหนึ่งในผู้ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย
เป็นหัวหน้าขบวนการเสรีไทยในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งมีส่วนอย่างสำคัญให้ประเทศไทยไม่ต้องตกเป็นประเทศผู้แพ้สงคราม
เพียงคุณงามความดีสองประการหลัง ก็เผื่อแผ่เจือจานมาถึงคนรุ่นหลังได้อย่างไม่จบไม่สิ้นแล้ว
การกระทำของพรรคประชาธิปัตย์ในอดีต จึงยิ่งกว่าคำว่า “เลวร้าย” จนแม้กระทั่ง “ความจริง”ปรากฏ จะเกิดความรู้สึกสำนึกผิดประการใดเป็นเรื่องภายในไม่มีใครรู้
จะเคยมีใครเดินไปกราบขมาขอโทษคนในตระกูล “พนมยงค์” หรือเปล่า ก็ไม่มีใครอยากติดใจเอาความ
เพราะอยากให้จบสิ้นกันที กับการเมืองแบบใส่ร้ายป้ายสี เข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ ดึงสถาบันเบื้องสูงมาเป็นเครื่องมือในการทำลายล้าง
หากแต่วันนี้ กลับมีพฤติการณ์บางประการ ที่ส่งกลิ่น
ตั้งแต่การออกมาตีโพยตีพายเรื่อง “ใบปลิวจาบจ้วงป๋า” ปลุกปั้นเรื่องราวให้ดูน่ากลัวว่าทำกันเป็นขบวนการ ทำกันอย่างใหญ่โต ทำโดยมีวาระมุ่งหมายให้กระทบกระเทือนถึงใครหรืออะไรที่ป๋าใกล้ชิดอยู่
เท่านั้นยังไม่พอ “ดาวยั่ว” ประจำพรรคยังออกมาหนุนส่ง โยงใยเครือข่ายว่าได้ชื่อคนทำใบปลิวมาแล้ว และยังมีสายสัมพันธ์กับอดีตคนไทยรักไทยอีกต่างหาก
“ตัวจริงเสียงจริง” เขาออกมาแถลงข่าวเองด้วยความกล้าหาญ ยอมรับในส่วนที่ ใช่ และปฏิเสธหนักแน่นในส่วนที่คนในพรรคนี้ใส่ร้าย
จนสุดท้ายก็ต้องหน้าหงายกลับไปกันทั้งพรรค แล้วก็อีกนั่นแหละ แต่ยังไม่พอ
ได้ทีส่งตามมาอีกดอก โดยพุ่งแรงแทงตรงไปที่ รัฐมนตรีประจำสำนักนายก จักรภพ เพ็ญแข หลังจากปล่อยให้แนวร่วมรัฐประหารขาเก่าเจ้าเดิมอย่างพันธมิตรฯ ออกมาตีไข่ใส่สีอย่างเมามัน อุ่นเครื่องกระแสสังคมให้ร้อนรุ่มขึ้นมาก่อน...
แล้วอย่างนี้ จะไม่ให้คนเขาสงสัยได้อย่างไรว่า มีการร่วมไม้ร่วมมือ จัดตั้งกันเป็นขบวนการเพื่อล้มล้างรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยโดยดึงเบื้องบนมาเป็นเครื่องมือ
อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นคนรุ่นใหม่และมีความรู้สูง ถึงกับได้เป็น หัวหน้าพรรค ตั้งแต่อายุยังน้อย ไม่น่าจะติดบ่วง “การเมืองน้ำเน่า” การต่อสู้แบบขี้ขลาดแบบนี้ไปกับเขาด้วย
และยิ่งน่าจะรู้ดีว่า คนไทยทุกคน ในประเทศนี้ ไม่มี ใคร สามารถไม่จงรักภักดีต่อสถาบันกษัตริย์ได้
เช่นเดียวกับที่ไม่มี ใคร สามารถคิดล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยได้เช่นกัน
สองสิ่งนี้ เป็นสิ่งที่คนผู้เกิดใต้ร่มธงไทยทุกคนสำนึกอยู่ในทุกลมหายใจเข้าออก แม้ไม่ต้องให้บอกว่าในรัฐธรรมนูญระบุเอาไว้ก็ตาม
เช่นนี้แล้ว การกล่าวหาใครด้วยข้อหาที่ว่า “ไม่จงรักภักดี” ต่อสถาบัน เป็นอันตรายต่อชาติ จึงเป็นเรื่องที่ควรคิดใคร่ครวญให้จงหนัก ไม่ใช่แค่เรื่องลักเล็กขโมยน้อยที่จะมากล่าวหากันได้พล่อยๆ
หรือถ้า “สติ” ดีกว่านี้อีกสักหน่อย ก็ยิ่งควรรู้ว่า ไม่สมควรอย่างยิ่งจะนำมาพูด
เพราะยิ่งพูด คนไทยทั่วประเทศ ยิ่งสะเทือนใจ
ยิ่งหยิบใช้ ก็ยิ่งระคายเคือง “เบื้องพระยุคลบาท”
เหตุการณ์ที่เคยอ้าง “สถาบัน” มาทำร้าย ปรีดี ยังเป็นประวัติศาสตร์บาดแผล เป็นความเสื่อมเสียที่ยังติดตัวพรรคประชาธิปัตย์อยู่จนทุกวันนี้
แล้ววันนี้ ยังจะคิดกลับไปซ้ำรอย “ประวัติศาสตร์อัปยศ” ของตัวเองอยู่อีกหรือ
ถาม จักรภพ เพ็ญแข ถาม สมัคร สุนทรเวช เขาย่อมไม่สะเทือนไหว เพราะ “ทองแท้” ย่อมไม่กลัว “ไฟ” คำใส่ร้ายไม่มีค่าเท่า “ความจริง”
แต่คนที่จะเสียหายหนักและต้องรับผิดกับเรื่องนี้ไปเต็มๆ ก็เห็นจะเป็นแต่พรรคประชาธิปัตย์เท่านั้น
อย่างที่บอก ถ้าไม่เห็นว่าคำเตือนของ จตุพร เป็นศัตรู ก็ควรนำกลับไปคิดดูอย่างยิ่ง
ทำผิดพลาดจนกลายเป็นตราบาปมาแล้วครั้งหนึ่ง...ยังไม่พอ
“ฤๅจะมีอันใดซ้ำรอย”
แค่ครั้งเดียวก็น่าจะเกินพอ