เป็นที่น่ายินดี สำหรับองค์กรภาคประชาชน หลากหลายแห่งได้เริ่มขยับแนวคิด วิธีการ ในการต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหารกันอย่างกว้างขวาง
ในห้วงเวลา 1-2 สัปดาห์ ที่ผ่านมา เราจะพบว่า การโหมประโคมข่าวที่ เกี่ยวข้อง กับการทำ ปฏิวัติรัฐประหาร โดยมีการเปิดเผยกันว่า “ไอ้หัวเถิก” เป็นผู้อยู่เบื้องหลัง ชักใย ขบวนการล้มประชาธิปไตยในประเทศไทยนี้
ทั้งที่จริงๆ แล้ว “ไอ้หัวเถิก” ชักใยอยู่เบื้องหลังขบวนการล้มประชาธิปไตยมาตั้งแต่เริ่มแรก โดยการ ลากนำสถาบันเบื้องสูง มาแอบอ้าง เพื่อหวังผล ทางการเมือง มาตั้งแต่ก่อนหน้าการปฏิวัติรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 แล้ว
หลายคนนำเสนอแนวทางที่เป็นไปได้ และเป็นไปไม่ได้ ทั้งใช้สันติวิธี ใช้ความบ้าคลั่งดุเดือดและรุนแรง หากทหาร นำกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์ ปืน และรถถัง เข้ามายึดอำนาจ แบบคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข หรือ คปค. ใน วันที่ 19 กันยายน 2549
การทำการปฏิวัติรัฐประหาร เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 113 มีโทษสูงสุดประหารชีวิต
การที่ประชาชนมีแนวคิดที่จะต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหาร จึงไม่ใช่เรื่องผิดกฎหมาย
พอจะประมวลแนวทางในการต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหาร แนวทาง “สันติวิธี” หรือ “อารยะขัดขืน” ซึ่งภาคประชาชนได้ร่วมกันคิด ประกอบไปด้วย
การทำแนวขวางกั้นในการลำเลียงพล เช่น นำรถยนต์ รถบรรทุก รถแท็กซี่ จอดขวางถนนทุกหนแห่ง เพื่อสกัดยับยั้งการเคลื่อนย้ายกำลังพล อาวุธยุทโธปกรณ์
การจัดตั้งกำแพงประชาชนป้องกันสถานที่ราชการสำคัญๆ เช่น ทำเนียบรัฐบาล รัฐสภา สถานีวิทยุ และสถานีโทรทัศน์
การชุมนุมประชาชนจำนวนมากโดยสงบและปราศจากอาวุธ ซึ่งเป็นแนวทางสันติ อหิงสา และอโหสิ
การใช้มาตรการระยะยาวคือ การไม่จ่ายภาษี
นอกจากนี้ยังมีการนำเสนอแนวทางที่ดุเดือด บ้าเลือด รุนแรง และไม่คิดว่าจะมีประชาชนส่วนใหญ่เห็นด้วยอีกมากมาย ซึ่งเป็นกรรมวิธีที่อาจเพ้อฝันเกินไปสักหน่อย บางแนวทางอาจจะทำให้เกิดความไม่สงบขึ้นในบ้านเมืองของเรา และยิ่งทำ ก็ยิ่งทำให้คณะปฏิวัติรัฐประหารได้รับความชอบธรรมตามมา
อย่างไรก็ตาม ถือเป็นเรื่องน่ายินดียิ่ง ที่มีการพูดถึง การตระเตรียมวิธีการในการต่อต้านการปฏิวัติรัฐประหารโค่นล้มประชาธิปไตย หากทหารจะทำให้เกิดขึ้นอีกครั้งในประเทศไทย ไม่ว่าจะเป็นวันรุ่งพรุ่งนี้ หรือวันไหนๆ ในภายภาคหน้าก็ตาม
เราเชื่อมั่นว่า ประชาชน จะไม่ยอมให้ ใครคนใดคนหนึ่ง หมู่ใด คณะใด กลุ่มใด กลุ่มหนึ่ง มา ปล้นอำนาจอธิปไตย ไปจากประชาชนได้อีก ตาม พระราชประสงค์ ตามความใน พระราชหัตถเลขา พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาประชาธิปก พระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว ทรงประกาศสละราชสมบัติ (ประกาศทางสถานีวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 7 มีนาคม 2477)
"ข้าพเจ้ามีความเต็มใจที่จะสละอำนาจ อันเป็นของข้าพเจ้าอยู่เดิมให้แก่ราษฎรทั่วไป แต่ข้าพเจ้าไม่ยินยอมยกอำนาจทั้งหลายของข้าพเจ้าให้แก่ผู้ใดคณะใดโดยเฉพาะ เพื่อใช้อำนาจโดยสิทธิขาดและโดยไม่ฟังเสียงอันแท้จริงของประชาชนราษฎร”
การเมืองจะเกิดความวุ่นวายปั่นป่วนอย่างไรก็ตาม ให้การเมืองแก้ปัญหาการเมืองด้วยกันเอง ตามวิถีทางในระบบรัฐสภา ซึ่งมีผู้แทนปวงชนชาวไทยเป็นฐานรองรับ ในเรื่องที่มาที่ถูกต้องชอบธรรมตามหลักการปกครองที่ดีที่สุดในเวลานี้ คือ ประชาธิปไตย กติกาสูงสุดของชาติ เขาให้รัฐบาลอยู่ได้ 4 ปี บริหารงานแก้ไขปัญหาประเทศชาติและประชาชน
ใครก็ตามที่คิดจะยึดอำนาจอธิปไตยไปจากประชาชน จงพึงระมัดระวังให้ดี คราวนี้ไม่ง่าย เพราะชาวบ้านร้านตลาดเขาไม่ยอม พร้อมจะออกมาปกป้องประเทศชาติบ้านเกิดเมืองนอน ปกป้องอธิปไตยของเขากันแล้ว