WeLoveOurKing
How to insert weloveking to you website

ทรงพระเจริญ

ขัตติยาอัด คอป แต่งนิทานโยนความผิดเสธ แดง 18 9 55

สถาบันกษัตริย์อยู่ได้ด้วยความจริง

ธงชัย วินิจจะกูล: Truth on Trial

สถาบันกษัตริย์ถึงเวลาต้องปรับตัว

ตุลาการผิดเลน !


ฟังกันให้ชัด! "นิติราษฎร์" ไขข้อข้องใจ ทุกคำถามกรณีลบล้างผลพวงรัฐประหาร





วิดีโอสอนการทำน้ำหมักป้าเช็ง SuperCheng TV ฉบับเต็ม 1.58 ชม.

VOICE NEWS

Fish




เพื่อไทย

เพื่อไทย
เพื่อ ประชาธิปไตย ขับไล่ เผด็จการ

Tuesday, May 13, 2008

‘รักชาติ’หรือเปล่า?

ที่ผ่านมาแม้ว่าคนทั้งบ้านทั้งเมืองจะประสานเสียงสนับสนุนการแก้ไข รธน.50 และเห็นพ้องต้องกันว่าควรจะหยิบเอาสาระสำคัญของ รธน.40 มาเป็นแม่แบบ

แต่พวกที่ออกมาคัดค้านก็ยังคงตะบี้ตะบันค้านโดยไม่ฟังเสียงรอบข้าง

ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่าผู้คนส่วนใหญ่ในบ้านเมืองมีความต้องการอย่างไร

ไม่ว่าจะเป็นเสียงจากภาคการเมืองที่เป็นตัวแทนของประชาชนส่วนใหญ่ เสียงของภาคประชาชนที่มีการรวมตัวกันนับสิบๆ องค์กร ทั้งภาควิชาการ หรือแม้แต่นิสิต นักศึกษา

รวมไปถึงล่าสุด กลุ่มนักธุรกิจ ที่สุดทนกับพฤติกรรมของคนเหล่านี้ และเสนอตัวออกมาร่วมต่อสู้การสืบทอดอำนาจเผด็จการ เรียกร้องเอา รธน.40คืนมา

ซึ่งกำลังจะมีการขึ้นป้ายคัตเอาต์ พร้อมกับรณรงค์ด้วยการติดสติ๊กเกอร์ไปทั่ว กทม. ในเร็ววันนี้

ก็ต้องนับว่าเป็นเสียงที่มีน้ำหนัก

เพราะปกติแล้วคนทำธุรกิจจะต้องถนอมเนื้อถนอมตัว เนื่องจากหากพลาดพลั้งไปแล้วย่อมหมายถึงความเสียหายที่จะตามมาอย่างมหาศาล

ดังนั้นปรากฏการณ์หมูไม่กลัวน้ำร้อน ที่เกิดขึ้นกับกลุ่มนักธุรกิจ จึงชี้ให้เห็นชัดถึงความอัดอั้นตันใจและสิ่งที่ถูกเก็บกดมานาน

เพราะนับตั้งแต่การปฏิวัติรัฐประหารเมื่อ 2 ปีก่อน ภาคธุรกิจเสียหายย่อยยับป่นปี้ และต้องปิดตัวไปแล้วหลายต่อหลายราย

มาถึงวันนี้มีรัฐบาลที่มาตามวิถีทางระบอบประชาธิปไตย ที่ดูเหมือนจะทำให้ผู้คนในบ้านเมืองเริ่มมองเห็นความหวัง แต่ก็กลับมี รธน.50 ที่เป็นอุปสรรคขวางกั้นการทำงานของรัฐบาล

เป็นเสมือนโซ่ที่คอยพันแข้งพันขา ให้ห่วงหน้าพะวงหลังจนไม่เป็นอันบริหารบ้านเมือง

ซึ่งเหล่านี้เป็นเหตุผลสำคัญที่กลุ่มนักธุรกิจออกมาเคลื่อนไหว โดยระบุว่าหากปล่อยไว้อีกไม่นานจะต้องปิดกิจการกันอีกหลายรายอย่างแน่นอน

แต่อย่างไรก็ดี บรรดากลุ่มก๊วนที่คัดค้าน ก็ยังคงเดินหน้าค้าน และที่สำคัญหลักใหญ่ใจความไม่เคยพูดถึงสาระสำคัญของรัฐธรรมนูญ เลย นอกเสียจากการออกมาให้ร้ายรัฐบาล

แม้แต่พรรคประชาธิปัตย์ ในห้วงหลังเลือกตั้ง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เอง ก็ยังพยายามที่จะล็อบบี้พรรคการเมืองต่างๆ ให้ร่วมกันลงสัตยาบันแก้ไขรัฐธรรมนูญ

นั่นแสดงให้เห็นว่าพรรคประชาธิปัตย์ ก็มีความเห็นชัดเจนว่ารัฐธรรมนูญ 2550 สมควรได้รับการแก้ไข

แต่ที่วันนี้ออกมาคัดค้าน ก็เพราะเป็นฝ่ายค้าน อย่างนั้นหรือเปล่าจึงต้องแสดงบทบาทที่สวนทางกับรัฐบาล หรือจะมีเหตุผลอะไรที่ลึกลับซับซ้อนไปมากกว่านั้นหรือไม่

ส่วนกลุ่มพันธมิตรฯ หรือบรรดา สสร.50 ที่ออกมาสร้างเงื่อนไขต่างๆ นานา ไม่น่าจะให้เครดิตว่าเป็นพวกต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ แต่ต้องเรียกว่าเป็นพวกชักใบให้เรือเสีย คือค้านดะค้านดาย อะไรที่รัฐบาลจะทำมีอันต้องขวางไว้ก่อนมากกว่า

จนเสมือนว่ามี “ใบสั่ง” ให้ทำทุกวิถีทาง ให้รัฐบาลไม่สามารถบริหารประเทศได้อย่างราบรื่น

และเมื่อเป็นเช่นนี้ยิ่งสอดรับและกลายเป็นข้อสงสัยไปถึง “มือที่มองไม่เห็น” ที่ถูกพูดถึงกันมานาน รวมไปถึง “ไอ้หัวเถิก” ที่ถูกเปิดประเด็นขึ้นมาใหม่

ที่ยังถูกผสมโรงเข้าไปด้วยความพยายามที่จะ “ดึงฟ้าต่ำ” หวังจุดชนวนความขัดแย้ง สร้างความรุนแรงให้เกิดขึ้นในบ้านเมือง รวมไปถึงข่าวปฏิวัติ

เป็นข้อสงสัยว่าคนที่ถูกเอ่ยถึงนี้ เป็นคนชักใยกลุ่มก๊วน หรือบางพรรค บางแก๊ง ที่ออกมาฉุดรั้งการทำงานของรัฐบาลจริงหรือไม่

และบางข้อสงสัยยังลึกไปมากกว่านั้น

ว่า “มือที่มองไม่เห็น” คือ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ใช่หรือเปล่า

และ “ไอ้หัวเถิก” นั้นเป็น ปีย์ มาลากุล จริงหรือ

ตรงนี้คงต้องละเอาไว้ เพราะไม่มีหลักฐานใดๆ ชี้ชัดและจะทำให้เชื่อเช่นนั้นได้ในตอนนี้

และก็คงไม่อยากจะให้เป็นไปอย่างที่มีคนคาดเดา เพราะคนที่กำลังกล่าวถึงเป็นถึงผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง มีคนนับหน้าถือตามากมาย

ขณะที่พฤติกรรมที่มีการกล่าวหาเป็นเรื่องของคนที่ไม่ปรารถนาดีต่อประเทศชาติ และต้องถือว่าเข้าขั้น “ชั่ว” ที่มีความพยายามดึงเอาสถาบันมาเป็นเครื่องมือทำลายฝ่ายตรงข้าม และจุดชนวนสร้างความร้าวฉาน ส่อให้คิดได้ว่าจงใจให้เกิดความรุนแรงขึ้นในบ้านเมือง

แต่จะเป็นใครก็ตามทีที่อยู่เบื้องหลังการเคลื่อนไหวเหล่านี้ ขอถามสักนิดว่าการเอาสถาบันและประเทศชาติมาเป็นเดิมพันในการทำลายล้างฝ่ายตรงข้าม หรือเอาชนะคะคานกันโดยไม่มองเหตุมองผล มันคุ้มค่ากันหรือไม่ และมีความเหมาะสมมากน้อยแค่ไหน

ที่สำคัญไม่ได้มีสำนึกห่วงใยประเทศชาติบ้างเลยหรืออย่างไร...!!

บิ๊กโบ๊ต