แม้จะไม่มีผลอะไรต่อการลงมติเลือกตั้งประธานสภาผู้แทนฯที่นายชัย ชิดชอบได้รับเลือกไปแล้ว แต่การที่พรรคชาติไทย แสดงปฏิกิริยาไม่พอใจพลังประชาชน ที่หักด้ามพร่าด้วยเข่า เร่งรัด ไม่มีประสาน แต่ส่ง “เด็กเนวิน” มาติดต่อแถมข่มขู่เสียอีก
กรณีนี้ นอกเหนือจากความไม่พอใจดังที่กล่าวมาแล้ว แน่นอนว่าตัวบุคคลที่เห็นว่าไม่เหมาะสม แต่ที่ยังอยู่ในใจของ “บรรหาร ศิลปอาชา” ก็คือความไม่พอใจที่ฝังลึกอยู่ในใจกับนายเนวิน ชิดชอบมากกว่า
แต่ที่สำคัญ น่าจะเป็นการ “ลองเชิง” พลังประชาชนมากกว่า เพราะหากมีปฏิกิริยาอย่างนี้จะมีผลตอบรับจากพลังประชาชนอย่างไร
ว่าที่จริงก็คือวัดใจกันมากกว่า
นายบรรหารได้แสดงตนชัดเจนโดยไม่ร่วมประชุมสภาอ้างว่าติดภารกิจ และมติพรรคก็ออกมาว่า “ฟรีโหวต” ซึ่งตรงกับรัฐธรรมนูญที่ให้อิสระ ส.ส.ในการตัดสินใจ เช่นกรณีเลือกนายกฯ คือไม่ต้องยึดถือตามมติพรรค
ข้อบัญญัตินี้มุ่งหวังให้ ส.ส.มีความเป็นอิสระ ไม่ต้องอยู่ภายใต้การครอบงำของหัวหน้าพรรค พรรคหรือมติพรรค อันเป็นสิทธิที่พึงกระทำ
แต่ที่จริงแล้วไม่ได้มีประโยชน์อันใดเลยสำหรับข้อกำหนดนี้ เพราะในความเป็นพรรคการเมืองก็ต้องใช้มติพรรคอยู่แล้ว คงไม่มีใครไปขัด
พูดง่ายๆแทบไม่มีประโยชน์ ที่จะนำมาใช้ปฏิบัติได้ตามเจตนารมณ์หรือจะพูดอีกว่ามันขัดธรรมชาติทางการเมืองอยู่แล้ว
ที่มุ่งหวังว่าจะทำให้นักการเมืองมีอิสระตรงที่ว่า หากพรรคมีมติในเรื่องที่ไม่เห็นด้วยหรือจะพาลงเหวกันอย่างไรก็ต้องว่ากันตามนั้น โดยเฉพาะในประเด็นกฎหมายสำคัญๆ
ยิ่งพลังประชาชนในขณะนี้สภาพเป็นอย่างไรก็รู้กันอยู่ ทุกอย่างดูเหมือนจะรวมศูนย์อยู่ที่เจ้าของพรรคตัวจริง เสียงจริง ไม่มีใครกล้าแหกคอกแน่
แม้แต่การชิงเก้าอี้ประธานสภาฯ ฝ่ายสนับสนุนนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ที่ตั้งท่าจะเคลื่อนไหวเพื่อสู้กับนายชัย แต่เอาเข้าจริงก็จ๋อยและรู้กันดีว่า เพราะเหตุใดเมื่อมีการทุบโต๊ะจะเอาอย่างนั้นจึงเงียบกันไปหมด แถมเจ้าตัวที่เป็นแคนดิเดตก็ถอดใจไม่ยอมสู้กองเชียร์ก็เลยเงียบไปด้วย
ข้อบัญญัตินี้คงใช้ไม่ได้ผลและต้องหาวิธีการอื่นดำเนินการ
อย่างไรก็ดีในส่วนของพรรคชาติไทย การแสดงปฏิกิริยาของนายบรรหารส่งผลต่อพลังประชาชนชัดเจน ไม่ต้องสงสัยและไม่มีใครกล้าแสดงออกแม้จะไม่พอใจก็ตาม
ที่พูดแบบนี้เพราะขนาดหัวหน้าพรรคตัวจริง ยังต้องโทรศัพท์หานายบรรหารเพื่อขอร้องให้ยอมรับ เนื่องจากเกรงจะเกิดปัญหาขัดแย้งในพลังประชาชน
แต่นายบรรหารไม่รับสายให้ลูกชายรับแทน...ว่ากันอย่างนั้นนะครับ
หากจะอ่านการเมืองกันต้องยอมรับนายบรรหารได้กำไร 2 ต่อ คือวัดใจพลังประชาชนโดยเฉพาะเจ้าของตัวจริงนั้นแคร์มากแค่ไหน และแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของพรรคชาติไทยแม้จะมีเสียงไม่มากนัก แต่ก็ทำให้รัฐบาลสั่นคลอนได้
และนายบรรหารยังได้ภาพดี แม้นายชัยจะได้เป็นประธานสภาผู้แทนฯ แต่ก็ได้แสดงให้สังคมเห็นว่าไม่ได้รับการยอมรับแม้กระทั่งพรรคร่วมรัฐบาล ไม่ใช่แค่ฝ่ายค้านเท่านั้น แบบนี้ได้ตบหน้าสั่งสอนกันทางการเมือง เพราะคงจะไปทำอย่างอื่นไม่ได้
แต่นายชัยเองก็คงต้องปล่อยให้เป็นไปตามวิถีทางการเมือง ข้อสำคัญก็คือได้เก้าอี้สำคัญแล้วไม่จำเป็นต้องไปสนใจคนตัวเล็กๆที่ส่งเสียงดังเท่านั้น แต่ปฏิกิริยาครั้งนี้ของนายบรรหารคงจะใช้เป็นเครื่องต่อรองทางการเมืองต่อไป
แม้กระทั้งการแก้ไขรัฐธรรมนูญ.
"สายล่อฟ้า"