“ยงยุทธ” ขึ้นศาลสู้คดีใบแดง แฉกลางศาล ถูกกระบวนการ คมช. จัดฉาก สร้างพยาน–หลักฐานเท็จ เบิกความถล่ม “ชัยวัฒน์” พยาน กกต. พบพิรุธเพียบ ติดแบล็กลิสต์ค้ายาต้องเข้าบำบัดสมัยรัฐบาลทำสงครามปราบยาเสพติด แจ้นร้องขอลบชื่อออกหวังลงสมัครกำนัน กางหลักฐานภาพถ่ายส่อร่ำรวยผิดปกติ แอบใส่ชื่อเมียในที่ดินกว่า 10 ล้าน ศาลเตรียมไต่สวนนัดสุดท้าย 20 พ.ค.นี้ ศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้ง สนามหลวง นายกำธร โพธิ์สุวัฒนากุล ผู้พิพากษาหัวหน้าคณะในศาลฎีกา พร้อมองค์คณะรวม 3 คน ออกนั่งบัลลังก์สืบพยาน คดีหมายเลขดำที่ ลต.38/2551 เมื่อวันที่ 14 พฤษภาคมที่ผ่านมา ระหว่าง คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ผู้ร้อง และ นายยงยุทธ ติยะไพรัช ส.ส.สัดส่วน และรองหัวหน้าพรรคพลังประชาชน และ น.ส.ละออง ติยะไพรัช น้องสาวนายยงยุทธ ส.ส.เขต 3 จ.เชียงราย พรรคพลังประชาชน ผู้คัดค้านที่ 1 - 2 กระทำผิด พ.ร.บ.ว่าด้วยการเลือกตั้ง ส.ส. และการได้มาซึ่ง ส.ว. ด้วยการทุจริตการเลือกตั้งด้วยการแจกเงินให้กับกลุ่มกำนัน อ.แม่จัน จ.เชียงราย ซึ่งเป็นตัวแทน (หัวคะแนน) ของนายยงยุทธ แจกเงินซื้อเสียงเพื่อให้มีการลงคะแนนเลือกผู้สมัครของพรรคพลังประชาชน โดย กกต.ยื่นคำร้องขอให้ศาลเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งนายยงยุทธซึ่งถูกให้ใบแดง และสั่งให้มีการเลือกตั้งใหม่ ในเขต 3 จ.เชียงราย ที่ น.ส.ละออง ถูกให้ใบเหลือง
ในการนัดสืบพยานครั้งที่สาม นายยงยุทธ เบิกความยืนยันว่า ไม่เป็นความจริง ตามที่ นายชัยวัฒน์ ฉางข้าวคำ กำนัน ต.จันจว้า พยานปากเอกของ กกต. เบิกความว่า ในวันที่ 28 ตุลาคม 2550 กำนันทั้ง 10 คนได้ไปพบพยานที่โรงแรมเอสซีปาร์ค และมีการแจกซอง 10 ซองใส่เงินซองละ 20,000 บาท รวม 200,000 บาท
พร้อมทั้งให้เงินกับนายชัยวัฒน์ ที่ค่าตั๋วเครื่องบินที่เดินทางจากเชียงรายมา กทม. อีก 40,000 บาท โดยมี นายบรรจง ยางยืน นายกเทศมนตรีตำบลจันจว้า เป็นผู้รับซองเงินจากพยานมามอบให้กำนันทั้ง 10 คน โดยพยานไม่เคยนัดหมายให้กำนันมาพบอีกทั้งวันที่กลุ่มกำนันเดินทางมาก็ไม่ทราบเรื่องมาก่อน
ส่วนที่นายชัยวัฒน์เบิกความว่า นายบรรจงยื่นซองให้พร้อมกับบอกว่า “นาย” ให้มานั้น ส่วนตัวพยาน คนในพื้นที่จะเรียกว่า “ส.ส.ยงยุทธ” หรือ “ท่าน ส.ส.” เท่านั้น ส่วน “นาย” จะใช้เรียกกับข้าราชการประจำ คือ นายอำเภอ ทหาร ตำรวจ
นายยงยุทธ เบิกความต่อว่า ในวันที่ 28 ตุลาคม 2550 มีภารกิจตั้งแต่ช่วงเช้าจนถึงเย็น โดยช่วงเวลา 14.00 - 15.00 น.ได้นัดประชุมกลุ่มกำหนดยุทธศาสตร์การเลือกตั้งของพรรคที่เซฟเฮาส์ ซอยรามคำแหง 21 เรื่องที่ พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ จะมาอยู่ที่พรรคพลังประชาชน และในเวลา 18.00 น.พยานมีนัดหมายพบกับ นางพัชรินทร์ สุขสัมฤทธิ์ ที่ปรึกษากระทรวงการคลัง ที่ห้องอาหารจีน โรงแรมเอสซี ปาร์ค ซึ่งพยานเดินทางมาพบประมาณ 19.00 น. ภายหลังเจ้าหน้าที่โรงแรมได้แจ้งว่ามีพวกเชียงรายมารอพบที่ชั้น 2
โดยมาทราบภายหลังว่าเป็นกลุ่มกำนันและได้พบในช่วงเวลา 20.15 - 21.00 น. แต่ขณะนั้นไม่พบนายบรรจง และทราบภายหลังว่าได้ออกจากโรงแรมไปกับ นายบุญชอบ สุทธมนัสวงษ์ ผู้อำนวยการศูนย์วิจัยและฝึกอบรมด้านสิ่งแวดล้อม กรมส่งเสริมคุณภาพสิ่งแวดล้อม ซึ่งขณะที่ได้พบกับกลุ่มกำนันก็ถามสารทุกข์สุกดิบที่พยานไปอยู่อเมริกาหลังเกิดรัฐประหาร และเรื่องที่ทหารจับตัวพยานไป นอกจากนี้ นายชัยวัฒน์ และ นายดวงแสง มูลกาศ ซึ่งนั่งอยู่ข้างๆ พยาน ได้ถามว่าเจอกับนายชูชาติหรือไม่ ซึ่งนายชัยวัฒน์และนายดวงแสงได้พูดถึงเรื่องหนี้สินที่นายชูชาติไม่ยอมจ่ายให้กับกลุ่มกำนันที่มีการจ้างให้ขุดลอก
ทั้งนี้ ในวันดังกล่าวไม่ได้พูดคุยเกี่ยวกับการเลือกตั้งว่าจะให้ช่วยเหลือ นายอิทธิเดช แก้วหลวง กับ น.ส.ละออง ซึ่งเป็นผู้สมัครของพรรค เนื่องจากขณะนั้นพรรคยังไม่ได้ข้อสรุปว่าจะส่งผู้สมัครคนใดลงพื้นที่ในจังหวัดใดบ้าง อีกทั้งในวันดังกล่าวก็ยังไม่ได้มีการประกาศสมัครรับเลือกตั้ง และพยานก็ไม่ได้รับปากกลุ่มกำนันเรื่องการทวงหนี้ แต่ได้บอกกับกลุ่มกำนันเพียงว่าให้คุยเรื่องเงินหนี้สินหลังเลือกตั้งที่บ้านพักของพยานใน จ.เชียงราย เพราะขณะนี้อยู่ในช่วงเลือกตั้ง พยานไม่สามารถดำเนินการใดๆ เกี่ยวกับเรื่องเงินได้เพราะผิดกฎหมาย รวมทั้งพยานไม่สามารถที่จะจ่ายเงินเลี้ยงอาหารกลุ่มกำนันที่มาพักโรงแรมนี้ได้ โดยใช้เวลาคุยกับกลุ่มกำนันประมาณ 20 นาทีแล้วก็ได้รีบออกจากโรงแรมไปประชุมวางยุทธศาสตร์ที่เซฟเฮาส์
นอกจากนี้ นายยงยุทธ ยังเบิกความเกี่ยวกับกระบวนการจัดการเลือกตั้งของ กกต.ว่าไม่บริสุทธิ์และไม่เป็นธรรม โดยหลังจากการรัฐประหารแล้ว ประธาน คมช.ได้ให้สัมภาษณ์สื่อหลายฉบับ ซึ่งมีทัศนคติที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพรรคพลังประชาชน ทำนองว่า จะมีการสร้างกระบวนการจัดการพรรคพลังประชาชน นอกจากนี้ ยังมีการส่งทหารเข้าไปเป็นรองผู้ว่าราชการฝ่ายความมั่นคง เช่น การส่ง พ.อ.ธนัช ปัญญา ต่อมาได้เกี่ยวข้องเชื่อมโยงกับกลุ่มกำนันและการจัดการรวบรวมพยานหลักฐานกล่าวหาพยานคดีนี้
อีกทั้ง นายยงยุทธได้เบิกความถึงความสัมพันธ์กับนายชัยวัฒน์ว่า ได้รู้จักกับนายชัยวัฒน์จากที่ตกเป็นข่าวเมื่อปี 2537 - 2538 ที่นายชัยวัฒน์เข้าไปพัวพันคดีอาวุธปืนและเหตุฆ่ากัน ซึ่งนายชัยวัฒน์ถูกระบุว่าเป็นซุ้มมือปืน ขณะนั้นยังไม่ได้รับเลือกเป็นกำนัน และมาทราบข่าวเกี่ยวกับนายชัยวัฒน์อีกครั้งเมื่อปี 2546 ขณะที่พยานดำรงตำแหน่งเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ขณะนั้นรัฐบาลกำลังดำเนินนโยบายทำสงครามกับยาเสพติด ได้ปรากฏชื่อนายชัยวัฒน์เป็นผู้ค้าและผู้เสพที่เข้ารับการบำบัด โดยนายชัยวัฒน์ได้เคยมาร้องขอให้พยานช่วยนำชื่อออกจากการเป็นแบล็กลิสต์ เพื่อจะไปลงสมัครเป็นผู้ใหญ่บ้านและกำนัน ต.จันจว้า แต่พยานได้ปฏิเสธไปเพราะกลัวถูกกล่าวหาว่ามีส่วนพัวพัน
ส่วนเรื่องที่นายชัยวัฒน์เคยระบุว่า เป็นสมาชิกพรรคและเคยทำงานให้กับพรรคไทยรักไทยและพรรคพลังประชาชนนั้น ไม่เป็นความจริงแต่อย่างใด จากฐานข้อมูล กกต.ระบุว่า นายชัยวัฒน์เป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ตั้งแต่ปี 2547 จนกระทั่งวันที่มาเบิกความเป็นพยานต่อศาลในวันที่ 8 พฤษภาคมที่ผ่านมา ก็ยังมีสถานภาพเป็นสมาชิกพรรคประชาธิปัตย์อยู่
พร้อมกับระบุถึงฐานะทางการเงินของนายชัยวัฒน์ว่า มีที่ดินอยู่ในชื่อของภรรยามูลค่ากว่า 10 ล้านบาท และหลังจากที่มีการกล่าวหาพยานในคดีนี้ก็พบว่านายชัยวัฒน์มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น จึงตั้งข้อสังเกตที่ต้องการให้มีการตรวจสอบทรัพย์สินของนายชัยวัฒน์ พร้อมกันนี้ได้ยื่นเอกสารภาพถ่ายบ้านพักของนายชัยวัฒน์ที่เพิ่งก่อสร้างใหม่ให้ศาลพิจารณาด้วย
ทั้งนี้ นายยงยุทธยังปฏิเสธเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับ ด.ต.เทพรัตน์ เขื่อนคุณา เจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.แม่จัน จ.เชียงราย ที่ กกต.อ้างว่าเป็นตำรวจติดตามนายยงยุทธ และนายบรรจง ยางยืน นายกเทศมนตรีตำบลจันจว้าที่ กกต.อ้างว่าเป็นหัวคะแนน
ภายหลัง นายพิชิต ชื่นบาน ทนายความนายยงยุทธ กล่าวว่า ในวันที่ 20 พฤษภาคมนี้ ไต่สวนพยานนัดสุดท้าย ตนต้องการที่จะสืบ พ.อ.ธนัช ปัญญา ที่ขอให้ศาลหมายเรียกมาเป็นพยาน พร้อมกับพยานปากอื่นที่เป็นชุดสืบสวนของ อนุ กกต.รวม 6 ปาก ซึ่งหาก พ.อ.ธนัช ได้ขึ้นเบิกความจริง ตนก็ไม่ติดใจที่สืบพยานชุดสืบสวนปากที่เหลืออีก ทั้งนี้จะนำพยานในส่วนของผู้คัดค้านมาเบิกความอีกประมาณ 2-3 คน แต่ยังไม่ขอเปิดเผยชื่อ