ช่วงหนึ่งเดือนมานี่ หากใครติดตามสถานการณ์ทางการเมืองอย่างใกล้ชิด จะเห็นได้ว่า มีข่าวรัฐประหารบ่อยและถี่แทบทุกวันเลยทีเดียว ไม่ว่าจะเป็นข่าวทางลึก ทางตื้น ทางหน้าสื่อมวลชน หรือแม้แต่ในเว็บไซต์ต่างๆ ซึ่งผมคิดว่า ข่าวเหล่านี้ ต่างมีมูลทั้งสิ้น แต่จนขณะนี้ ก็ยังไม่มีรัฐประหารเกิดขึ้น ซึ่งคาดว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา คงประเมินสถานการณ์แล้วว่า แม้จะทำรัฐประหารสำเร็จ ก็ไม่อาจไปรอดได้นาน และจะนำความพินาศมาสู่สังคม
เมื่อถึงกับเปิดไม้ตาย ว่าจะมีการทำรัฐประหาร แสดงว่า พวกศักดินาอำมาตยาธิปไตย ในทางการเมืองนั้น ไม่มีทางไปแล้วจริงๆ จึงต้องหันกลับไปใช้วิธีโบราณที่โลกศตวรรษที่ 21 ไม่ยอมรับ เพราะเขาไม่อาจจะเสนออะไรให้กับประชาชนเพื่อการดำรงอยู่ในอำนาจของตนแล้ว จึงหันกลับไปใช้กำลัง เืพื่อบีบบังคับเอา
แต่เชื่อผมเถอะว่า ต่อให้ใช้กำลังก็ไปไม่รอด สังคมที่ไม่ยอมให้ปกครอง ผู้ปกครองย่อมไม่อาจอยู่ได้
หากเราวิเคราะหฺให้ลึกซึ่งจริงๆ ก็จะพบว่าในทางอุดมการณ์ทางการเมือง เศรษฐกิจต่างๆ ลัทธิอำมาตย์ก็ไม่มีทางไปจริง พวกนี้ไม่นิยมระบอบประชาธิปไตย ระบบเศรษฐกิจที่ลัทธิอำมาตย์เสนอก็เป็นระบบเศรษฐกิจที่ไม่สอดคล้องกับสังคมโลกในปัจจุึบัน ที่ดังขึ้นมาได้ก็เพราะว่าในชุมชนวิชาการไม่มีใครกล้าโต้แย้งนั่นเอง
ผมลอง List ความแตกต่างระหว่างระบอบอำมาตย์ กับ ระบอบทักษิณตามใจผม โดยสร้างตารางขึ้นมา เราจะเห็นได้ว่าแนวคิดและอุดมกการณ์ของลัทธิอำมาตย์นั้นล้าหลังและไม่สอดคล้องกับสังคมโลกในศตวรรษที่ 21 เป็นอย่างยิ่ง
อำมาตยาธิปไตย | ทักษิโณมิกส์ | |
อุดมการณ์ทางการเมือง | แต่งตั้ง เครือข่าย ประชาธิปไตยครึ่งใบ | เลือกตั้ง วันแมนวันโหวต |
แนวคิดทางเศรษฐกิจ | เศรษฐกิจ Self-sufficient | ทุนนิยมโลกาภิวัฒน์ |
ความมั่นคงสังคม | ระบบสังคมสงเคราะห์ | สวัสดิการสังคมบางระดับเช่น รักษาฟรี |
ฐานเสียง | คนชั้นกลางในเมืองใหญ่, ภาคนิยม (ใต้) | คนชนบท, คนรากหญ้าในเมือง,คนชั้นกลางหัวก้าวหน้า |
ลองดูแนวคิดทางการเมืองของกลุ่มอำมาตย์ ที่เสนอผ่านนอมินี คือ กลุ่มพันธมิตรเพื่อประชาธิปไตย คือ ระบอบการเมืองแบบ 70/30 ที่สาระสำคัญคือ ไม่เชื่อมั่นในระบบเลือกตั้ง โดยพวกนี้กล่าวว่า ประชาชนชั้นล่างไม่มีการศึกษาและมีแนวโน้มที่จะถูกล่อลวงได้ง่ายๆ สาวกของคนในลัทธินี้บางคนถึงกับเปรียบเทียบว่า คนชั้นล่าง คนรากหญ้า ไม่ต่างอะไรกับลิงบาบูน ดังนั้นหากคนจนเหล่านี้มีสิทธิออกเสียงได้ ลิงบาบูนก็น่าจะมีสิทธิ์ออกเสียงได้
ความคิดแบบนี้ ประชาชนที่เจริญแล้วในศตวรรษที่ 21 ถึงกับตกตลึงกันไปทั่วโลกว่า มันยังมีอยู่ได้อย่างไรในโลกยุคนี้
แค่แนวคิดทางการเมืองก็บอกถึงความล้าหลังของ กลุ่มการเมืองลัทธิอำมาตยาธิปไตยนี้แล้ว
ส่วนแนวคิดทางเศรษฐกิจ ผมไม่ค่อยอยากวิจารณ์มาก เมื่อสันติบาลขู่จะปิดเว็บไซต์ต่างๆ อยู่เป็นประจำ แต่เมื่อเปรียบเทียบกับระบอบทักษิณ ที่แท้ที่จริงคือ ระบอบทุนนิยมโลกาภิวัฒน์แล้ว ผมว่ามันเทียบกันไม่ได้ แนวคิดทางเศรษฐกิจของลัทธิอำมาตย์นั้นล้าหลังจน ไปหยิบเอาประเทศภูฐาน ที่มีประชากรนิดเดียวมาเป็นสังคมต้นแบบว่า ประเทศไทยควรเป็นอย่างนั้น แทนที่จะไปเทียบกับสังคมยุโรป ญี่ปุ่นหรือสหรัฐอเมริกา
ตอนนี้ ผมคิดว่าความหวังทางการเมืองของ ลัทธิอำมาตย์มีอยู่หนทางเดียวคือ ใช้กำลังทหารเข้ายึดอำนาจการเมืองการปกครอง แล้วแก้ไข รธน. สร้างระบอบการเมืองที่คนส่วนมากของประเทศไม่มีส่วนร่วมทางการปกครอง หมุนประเทศไทยกลับไปก่อนปี 2475 ซึ่งผมไม่เชื่อว่า ระบอบการเมืองไทยจะย้อนหลังไปเช่นนี้ได้ เพราะสุดท้ายมันก็จะเกิดการ “ปฎิวัติสังคม” เหมือน การปฎิวัติ 2475 อยู่ดี ในโลกยุคนี้ไม่มีทางที่จะกันประชาชนส่วนใหญ่ออกไปจากการมีส่วนร่วมทางการเมืองได้
ผมคิดว่าจุดด้อยที่สำคัญของกลุ่มอำมาตย์คือ ยังคิดว่าประเทศไทย เป็นสังคมเกษตรกรรม ที่คนไทยยังมีความเชื่อแบบโบราณตามระบอบจักรวาลวิทยาแบบไตรภูมิพระร่วงอยู่ ซึ่งระบอบจักรวาลวิทยา หรือกรอบความคิดความเชื่อโลกนี้โลกหน้ารวมโลกจิตวิญญาณต่างๆ แบบนี้ คือระบอบสังคมที่ครอบงำชนบทของไทยมาตั้งแต่สมัยสุโขทัย และจะเชื่อมั่นในผู้ปกครองที่คิดว่ามีบุญบารมี
แต่สังคมไทยปี 2551 นั้นไม่ใช่สังคมปี 2490 ครับ ความคิดความเชื่อเช่นนั้นไม่ได้มีอยู่แล้ว ยิ่งในชนบทที่ผมเกิดและเติบโตมาหลังปี 2500 ยิ่งไม่เป็นแบบนั้น ตัวผมเองเป็นผลผลิตของการเรียนการสอนในระดับหมู่บ้านหลังปี 2500 ดังนั้น ผมคิดและเชื่ออย่างไร เด็กรุ่นหลังผมในชนบท ก็เชื่ออย่างนั้นแหละครับ
เราไมได้เชื่อในผู้ปกครองที่มีบุญญาธิการมากมายอะไรแล้ว แต่เราเชื่อมั่นในผู้ปกครองที่สามารถสร้างคุณประโยชน์ให้กับพวกเรา พัฒนาให้เราอยู่ดีกินดี แตะต้องได้ สัมผัสได้ แม้ว่าคนชนบทจะเชื่อเรื่องชาติหน้า แต่ชาตินี้สำคัญกว่าชาติหน้า ดังนั้น แนวคิดของนายกฯทักษิณ ชินวัตร ที่สร้างสวัสดิการสังคมต่างๆ จึงเป็นแนวคิดที่จับต้องได้ในสังคมยุคเรา
นักการเมืองที่เสนอในสิ่งที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้แบบทักษิณจึงได้รับความนิยมมากกว่า เพราะสิ่งที่เขาทำสัมผัสได้ กินได้ รับรู้ได้
ดังนั้นแนวคิดของลัทธิอำมาตย์ แม้ว่าจะพยายามโฆษณาประชาสัมพันธุ์อย่างไร ในปี พ.ศ. 2551 มันไม่ได้มีความหมายอีกต่อไปแล้ว
เมื่อไร้ซึ่งแนวคิดทางการเมืองที่สามารถจูงใจคนส่วนใหญ่ได้ ข้อเสนอต่างๆ ล้วนแต่เป็นนามธรรม ผมจึงฟันธงเลยว่า ลัทธิอำมาตยาธิปไตย หมดสิ้นหนทาง หมดอนาคตทางการเมืองแล้ว ภายในไม่เกินทศวรรษนี้จะเสื่อมสลายไปจากสังคมไทยอย่างแน่นอน
การแสดงพลังของ “กลุ่มคนเสื้อแดงต้านรัฐประหาร” คือตะปูที่ตอกฝาโลงสำหรับลัทธิอำมาตย์โดยแท้ ยิ่งคุกคามประชาธิปไตย คนเสื้อแดงยิ่งขยายตัวสร้างฐานมวลชนเข้าต่อสู้ สุดท้ายประชาชนส่วนใหญ่ของประเทศย่อมชนะอย่างไม่ต้องสงสัยอยู่แล้ว
จาก thaifreenews