คอลัมน์ : โต๊ะข่าวประชาทรรศน์
โดย เอกฉัตร
มหกรรมรวมพลคนเสื้อแดง ครอบครัวความจริงวันนี้ สัญจร ครั้งที่ 2 ที่สนามราชมังคลากีฬาสถาน เมื่อวันเสาร์ที่ 1 พฤศจิกายน 2551 จะต้องบันทึกไว้เป็นประวัติศาสตร์การเมืองไทย ที่มีคนไปชุมนุมกันมากที่สุดเป็นจำนวนเรือนแสน โดยทุกคนใส่เสื้อสีแดงเหมือนกันหมด ยกเว้นตำรวจและทหารที่แต่งเครื่องแบบไปรักษาความสงบเรียบร้อย แต่มีตำรวจนอกเครื่องแบบจำนวนมากเหมือนกันที่ผมคุ้นหน้าคุ้นตา ก็ใส่เสื้อแดงที่มีข้อความ “ต้านเผด็จการ”
ภาพจำนวนคนเรือนหมื่นเรือนแสน อาจจะเป็นภาพคุ้นตาของการแข่งขันฟุตบอลโลก ฟุตบอลยูโร และฟุตบอลต่างประเทศ ที่ถ่ายทอดสดให้คนไทยได้ดูได้ลุ้นกันทั้งปี โดยเฉพาะนัดดาร์บี้แมตช์ หรือศึกใหญ่ๆ ที่ทีมดังๆ ต้องลงสนามปะทะแข้งกัน แต่คนดูบนอัฒจันทร์ก็ใส่เสื้อสีต่างกัน ตามสีเสื้อของทีมที่ลงแข่งขันทั้ง 2 ทีม และยังมีคนดูใส่เสื้อที่ไม่ใช่เสื้อประจำของทีมก็มีประปราย ไม่มีนัดไหนจะใส่เสื้อสีเหมือนกัน
แม้แต่การแข่งขันระหว่างทีมแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด หรือปีศาจแดง กับทีมลิเวอร์พูล หรือหงส์แดง ซึ่งทั้ง 2 ทีมปกติจะใส่เสื้อสีแดง แต่ถ้าต้องลงปะทะแข้งกันในสนาม ทีมเยือนจะต้องใส่เสื้อสีอื่นที่ไม่ใช่สีแดงตามที่ได้แจ้งไว้กับสมาคมฟุตบอลของอังกฤษ ทำให้แฟนคลับของแต่ละทีมจะต้องใส่เสื้อตามนักฟุตบอลใส่ลงสนาม
ไม่ได้แดงเต็มอัฒจันทร์อย่างที่ได้เห็นกันในสนามราชมังคลากีฬาสถาน
และ...ในสนามฟุตบอลที่มีการแข่งขันศึกดาร์บี้แมตช์ ไม่ว่าคนดูจะใส่เสื้อสีอะไร แต่กลางสนามก็จะเป็นสีเขียวของหญ้า และมีนักฟุตบอลทั้ง 2 ทีมจำนวน 22 คน กรรมการในสนาม 1 คน ผู้ช่วยผู้ตัดสิน หรือไลน์แมน 2 คนเท่านั้น ส่วนตัวสำรอง เจ้าหน้าที่ทีม และกรรมการจัดการแข่งขัน จะนั่งข้างสนามเท่านั้น
แต่ในสนามราชมังคลากีฬาสถาน สนามหญ้าที่เคยเป็นสีเขียว เปลี่ยนเป็นสีแดงของคนที่ใส่เสื้อแดง จึงเป็นปรากฏการณ์ทางการเมืองที่จะต้องบันทึกไว้ในประวัติศาสตร์
ผมและทีมงานสำนักข่าวประชาทรรศน์ต้องบอกว่า โชคดีที่เป็นหนึ่งในขบวนการคนเสื้อแดงต้านเผด็จการ ทีมงานสำนักข่าวประชาทรรศน์ได้ยกขบวนกันไปโปรโมตนิตยสารประชาทรรศน์ ฉบับความจริงวันนี้ ฉบับที่ 2 ในงานครอบครัวความจริงวันนี้ สัญจร ครั้งที่ 2 โดยมีประชาชนให้ความสนใจสอบถาม และซื้อนิตยสารประชาทรรศน์ รายสัปดาห์ และความจริงวันนี้ กันพอสมควร
แต่สิ่งที่ผมและทีมงานได้รับมาเต็มๆ คือ ภูมิใจที่ได้ร่วมแสดงพลังต้านเผด็จการตามเจตนารมณ์และอุดมการณ์ของหนังสือพิมพ์ประชาทรรศน์ ทั้งรายวัน รายสัปดาห์ และรายปักษ์
นอกจากนั้นได้ตื่นตาตื่นใจกับปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเห็นมาก่อน และไม่แน่ใจว่าจะมีเหตุการณ์กิจกรรมทางการเมืองที่มีคนพร้อมใจใส่เสื้อสีเดียวกันเรือนแสนให้เห็นอีกหรือไม่
การที่ประชาชนได้แสดงพลังพร้อมใจกันใส่เสื้อสีแดง เพื่อร่วมกันต่อต้านเผด็จการที่มีข่าวคุกรุ่นมานานเป็นระยะๆ ตั้งแต่กลุ่มพันธมิตรพันธมารยึดทำเนียบรัฐบาล ประท้วงขับไล่รัฐบาลตั้งแต่วันที่ 26 สิงหาคม ที่ผ่านมา โดยได้กวักมือเรียกให้ทหารออกมาปฏิวัติรัฐประหาร เพราะเคยทำสำเร็จมาแล้ว
แต่บังเอิญว่า พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผู้บัญชาการทหารบก ไม่บ้าจี้ตามเสียงเรียกร้องประกอบกับเห็นแจ่มแจ้งแดงแจ๋แล้วว่า ประเทศชาติได้รับความเสียหายมหาศาลอย่างไร หลังจาก พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตผู้บัญชาการทหารบก ทำการปฏิวัติรัฐประหาร ยึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี
และได้ฉีกรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนทิ้ง แล้วร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาใหม่ ที่หมกเม็ดซ่อนเร้นปัญหาไว้มากมาย เป็นการสร้างปัญหาให้กับประเทศชาติมาจนถึงวันนี้
เรียกว่าใช้ปากกระบอกปืนล้มล้างการปกครอง และใช้รัฐธรรมนูญ 2550 กระทืบซ้ำ จนประเทศอยู่ในอาการโคม่าอย่างที่เห็นและเป็นอยู่ในปัจจุบัน
ด้วยเหตุนี้กระมังที่ทำให้ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ได้ยอมทำตามเสียงเรียกร้องโหยหาของกลุ่มพันธมิตรพันธมาร ยอมตกเป็นเหยื่อฝีปากของคนที่ไปพ่นน้ำลายในทำเนียบรัฐบาล
และ...ปรากฏการณ์พลังเสื้อแดงต้านเผด็จการ คงจะทำให้เสียงเรียกร้องโหยหาให้ทหารปฏิวัติเป็นแค่เสียงหมาเห่าหอนเท่านั้น ใครคิดจะทำการปฏิวัติรัฐประหารไม่ใช่คิดหนัก แต่ต้องเลิกคิดไปเลย
ไม่เถียงหรอกว่าพลังเสื้อแดงส่วนหนึ่งต้องการจะมาฟังเสียงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่โทรศัพท์เข้ามาพูดคุยกับประชาชน ตามที่รายการความจริงวันนี้ได้บอกกล่าวกันล่วงหน้า และยืนยันมาตลอดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะส่งเสียงมาแน่นอน ไม่ต้องไปฟังขบวนการขัดขวาง รวมทั้งโหร คมช. ที่ทำนายจะไม่มีแน่นอน
แต่สิ่งที่ผมต้องเถียงแน่นอน ใครที่กล่าวหาว่าประชาชนที่เดินทางมาได้รับการจัดตั้งว่าจ้างกันเป็นรายหัวนั้น เป็นการดูถูกดูหมิ่นน้ำใจของคนที่รักประชาธิปไตย ทุกคนมาเพื่อร่วมกิจกรรมทางการเมืองเพื่อต่อต้านการรัฐประหาร ไม่ได้ประท้วงเรียกร้องใดๆ ไม่หวังผลประโยชน์ใดๆ ที่จะต้องชุมนุมกันยืดเยื้อ ทุกคนจึงแยกย้ายกันกลับบ้านใครบ้านมัน เมื่องานกิจกรรมทางการเมืองเสร็จสิ้นในคืนนั้น