คอลัมน์ : สวัสดีวันจันทร์
“...การที่งานชุมนุมคนเสื้อแดง ครอบครัวความจริงวันนี้ครั้งที่ 2 ผ่านพ้นไปด้วยความสงบราบรื่นก็เพราะคนที่มาในงานล้วนเป็นคนมีวุฒิภาวะ มีความรักสงบ รักสันติและอยู่ในกรอบกฎหมายทั้งสิ้น พูดง่ายๆ ว่า คนทั้งหมดเป็นนักประชาธิปไตยอย่างแท้จริงและเป็นนักสันติวิธีอันแท้จริง...”
งานชุมนุมคนเสื้อแดง – ครอบครัวความจริงวันนี้ครั้งที่ 2 ที่สนาม ราชมังคลากีฬาสถาน หัวหมาก ซึ่งเป็นสนามกีฬาที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ผ่านพ้นไปแล้วด้วยดี
ดีอย่างชนิดที่ผู้จัดเองก็สามารถพูดโดยไม่เกรงใจว่าจะมีคนนินทาว่า สุนัขขี้ ไม่มีใครยกหางให้ หรือจะเลี่ยงไปใช้สำนวนจีนก็ว่า ปิดทองคำเปลวใส่หน้าตัวเอง
เหตุที่กล้าพูดอย่างนั้นก็เพราะว่า งานมีคนมาชุมนุมกันมากเรือนแสน มากันตั้งแต่เช้าก่อนกำหนดที่ได้แจ้งกันไว้ล่วงหน้าตั้งหลายชั่วโมง แล้วก็ทยอยมาจนถึงเวลาค่ำอันเป็นช่วงเวลาที่จะมีการปราศรัยทางการเมือง
ผู้คนสวมเสื้อแดงมากมายปานนั้น มาอยู่ด้วยกันเป็นเวลาหลายชั่วโมงน่าจะมีเหตุร้าย น่าจะมีความไม่สงบ น่าจะมีคนเกกมะเหรกเกเรมาก่อความวุ่นวายบ้าง อย่างน้อยก็พอหอมปากหอมคอ แต่ปรากฏว่าไม่มีเหตุการณ์ดังกล่าวเลยแม้แต่น้อย ใครไม่เชื่อก็ให้ถามเจ้าหน้าที่ตำรวจที่มาช่วยดูแลความสงบในงานได้ว่าเขาสามารถดูแลงานได้ด้วยความปลอดโปร่งใจเพียงใด
การที่งานชุมนุมคนเสื้อแดง – ครอบครัวความจริงวันนี้ครั้งที่ 2 ผ่านพ้นไปด้วยความสงบราบรื่นก็เพราะคนที่มาในงานล้วนเป็นคนมี วุฒิภาวะ มีความรักสงบ รักสันติและอยู่ในกรอบกฎหมายทั้งสิ้น พูดง่ายๆว่า คนทั้งหมดเป็นนักประชาธิปไตยอย่างแท้จริงและเป็นนักสันติวิธีอันแท้จริง ไม่ใช่นักสันติวิธีปลอมหรือสันติวิธีแต่ปากอย่างที่เห็นกันอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล
ใครที่ผ่านไปทางทำเนียบรัฐบาล 2 - 3 วันมานี้จะเห็นว่าเขามีการเสริมรั้ว เสริมยางรถยนต์ เสริมบังเกอร์ ตรงจุดที่เขาปิดเส้นทางการสัญจร ประหนึ่งว่ารัฐอิสระของเขากำลังตกอยู่ในภาวะสงคราม
นี่ยังไม่ได้พูดถึงการ์ดของเขาที่มีอาวุธครบครันและได้มีการเรียกระดมอาสาสมัครเพิ่มขึ้นอีกเป็นพิเศษจำนวนพัน ประกาศออกใบอนุญาตพกพาอาวุธให้เสร็จสรรพ
งานชุมนุมคนเสื้อแดงมี เป้าหมายต้านรัฐประหาร จึงเป็นธรรมดาที่การพูดจาปราศรัยบนเวทีจะต้องมีเข็มมุ่งไปทางนี้เป็นทางเดียวกันและถ้าหูของข้าพเจ้าไม่เข้าข้างพวกเดียวกันเองที่เรียกกันว่า ‘ฉันทาคติ’ ข้าพเจ้าขอให้คะแนนว่าผู้พูดทุกคนบรรลุเป้าหมายนั้นโดยสมบูรณ์
เริ่มจาก อ.มานิตย์ จิตต์จันทร์กลับ นายก่อแก้ว พิกุลทอง นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายจาตุรนต์ ฉายแสง ซึ่งถือว่าเป็น ภาคต้านรัฐประหาร โดยเฉพาะ ข้าพเจ้าให้คะแนนเต็มทุกคน
ส่วนภาคต่อจากนั้นคือ ภาคพิเศษที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โฟนอินเข้ามาจากต่างประเทศเพื่อพูดคุยกับประชาชนชาวเสื้อแดงในฐานะของผู้ที่ได้รับพิษภัยจากการทำปฏิวัติ – รัฐประหารหรือเหยื่อของเผด็จการด้วยกันนั้น ข้าพเจ้าขอตัวที่จะออกความคิดเห็นในที่นี้เพราะตัวเองเข้าไปมีบทบาทอยู่ด้วย ปล่อยให้คนอื่นวิพากษ์วิจารณ์กันไปจะดีกว่า
อีกทั้งส่วนที่ นายจักรภพ เพ็ญแข นายอดิศร เพียงเกษ และนายพงศ์เทพ เทพกาญจนา ปราศรัยในช่วงท้ายก่อนปิดรายการนั้น แม้ข้าพเจ้าจะเห็นว่าแต่ละคนจะทำหน้าที่ได้ดีพิเศษเหมือนกัน แต่ก็เปรียบเสมือนการเทน้ำสะอาดบริสุทธิ์ลงไปในตุ่มที่มีน้ำสะอาด บริสุทธิ์ เต็มอยู่แล้ว ไม่อาจทำให้เกิดผลบวกหรือผลลบใดๆ นอกจากจะทำให้น้ำสะอาดและบริสุทธิ์นั้นล้นเนืองออกไปให้ผู้บริโภคได้อาบกันอย่างสดชื่นยิ่งขึ้นเท่านั้น
หากจะไม่พูดถึงดินฟ้าอากาศเข้าไว้ด้วย การเขียนถึงงานวันแดงเดือดครั้งที่ 2 จะขาดความสมบูรณ์ไป
ข้าพเจ้าจึงขอพูดถึงเสียด้วยว่า การจัดงานชุมนุมทางการเมืองใหญ่ๆ อย่างนี้ในฤดูฝน แม้จะเป็นช่วงปลายฤดูก็นับว่าเป็นการเสี่ยงอย่างยิ่ง
พวกเรา ความจริงวันนี้ จัดชุมนุมครั้งแรก เมื่อ 11 ตุลาคม 2551 ที่ธันเดอร์โดม เมืองทองธานี ก็ด้วยเหตุนี้คือเหตุว่ากลัวผู้ชุมนุมจะเปียกฝน จึงต้องไปหาสถานที่ที่จุคนเป็นหมื่น แต่ต้องมีหลังคาคลุมกันแดดและฝน ซึ่งก็ไม่มีที่ไหนเหมาะเท่าที่นั้น
แต่ปรากฏว่าผู้คนซึ่งรักประชาธิปไตยไปกันมากมายจนหอประชุมไม่อาจรองรับผู้คนทั้งหมดได้ เป็นปัญหาให้คนจำนวนหนึ่งต้องนั่งฟัง ยืนฟังนอกห้องและส่วนหนึ่งต้องเดินทางกลับด้วยความผิดหวัง
การจัดการชุมนุมครั้งที่ 2 จึงต้องแก้ปัญหาคือต้องได้สถานที่กว้างใหญ่กว่าเดิม จุคนมากกว่าเดิมหลายเท่าแต่ก็จนใจเพราะไม่มีที่ไหนมีหลังคามิดชิดกันแดดกันฝน ก็เลยต้องตัดสินใจเสี่ยงใช้ที่โล่ง – ไม่มีหลังคา แต่จะมีปัญหาแน่ถ้าฝนตกหนัก
เราตัดสินใจเลือก สนาม ‘ราชมังคลากีฬาสถาน’ ซึ่งเป็นที่เดียวที่มีอยู่และบังเอิญว่างให้เราใช้ได้
วันที่ 31 ตุลาคม เราไปตั้งเวที ติดตั้งเครื่องขยายเสียง เตรียมความพร้อมล่วงหน้า 1 วันตามปกติของงานใหญ่ วันนั้นฝนตกพรำๆ และตกหนักจนเราไม่อาจทำงานได้ในตอนดึก แต่เราก็ใจดีสู้เสือ กัดฟัน รอจนฝนหยุดก็ลุยงานต่อไป
รุ่งขึ้นเช้าวันที่ 1 พฤศจิกายน เป็นวันนัด แสงอาทิตย์สดใส มีเมฆฝนกระจาย แต่ไม่มีฝนตก พิธีพราหมณ์อัญเชิญเทพยดา บูชาฟ้าดินขอความเป็นสิริมงคล เวลา 13 นาฬิกา 9 นาที เมฆเคลื่อนตัวเข้าบังดวงอาทิตย์สักพัก พระอาทิตย์ก็ทรงกลดให้เห็นเป็นอัศจรรย์
ไม่มีฝนตกสักเม็ดในวันงานชุมนุมใหญ่คนเสื้อแดงต้านรัฐประหาร ตั้งแต่เริ่มงานจนคนสุดท้ายเดินทางกลับบ้าน มีแต่ลมหนาวอ่อนๆ โชยมา
ความบริสุทธิ์ใจ ความจริงใจในการแสวงหาสันติให้กับบ้านกับเมืองของคนหมู่มาก แม้เทพยดาฟ้าดินก็รับทราบและเปิดทาง – อำนวยพรให้
ข้าพเจ้าคิดและเชื่ออย่างนี้