คอลัมน์ : โต๊ะข่าวประชาทรรศน์
โดย บิ๊กโบ๊ต
ในรอบวันที่ผ่านมา มีเรื่องราวเกี่ยวเนื่องถึง “ม็อบโกเต๊กซ์” อยู่หลายต่อหลายเรื่อง ที่ดูแล้วล้วนแต่เป็นประเด็นที่บอกเล่าถึงสันดาน ความคิดอ่านของคนพวกนี้ได้เป็นอย่างดี
นับแต่การไม่ยอมเปิดเส้นทางเสด็จ สู่พระราชพิธีพระราชทานเพลิงพระศพ สมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอ เจ้าฟ้ากัลยาณิวัฒนาฯ ซึ่งไม่อยากจะไปวิพากษ์วิจารณ์ให้มากความ เพราะเชื่อว่าผู้อ่านก็คิดได้ว่าอะไรเป็นอะไร รวมไปถึงสิ่งที่คนพวกนี้ชอบแอบอ้างนักหนาว่าเป็นคนจงรักภักดี ก็ยิ่งชวนให้น่าสงสัยว่า... “มันจงรักภักดีแบบไหนกัน”
การจงรักภักดีหมายถึงการอ้างว่ากลัวตำรวจจะใช้กำลังเข้าจัดการการทำผิดกฎหมายของตัวเอง จนยอมให้เจ้านายได้รับผลกระทบอย่างนั้นหรือเปล่า หรือหากจะยอมเปิดเส้นทางให้ในนาทีสุดท้ายก่อนวันเสด็จจริง ด้วยเส้นทางที่เต็มไปด้วยเต็นท์โสโครกของพวกขี้ยา และยางรถยนต์กองพะเนิน ราวกับอยู่ในภาวะสงคราม ยังจะคิดว่าเหมาะสมหรือสมพระเกียรติ เป็นหน้าเป็นตาของบ้านเมืองในพระราชพิธีสำคัญอย่างนั้นหรือไม่ ผมเคยพูดไปแล้วว่าคนพวกนี้ไม่รักชาติ เพราะดึงดันชุมนุมเพื่อประโยชน์ของตัวเอง จนไม่สนใจผลกระทบที่ตามมามากมายมหาศาล โดยเฉพาะด้านเศรษฐกิจ ที่เพียงลำพังการท่องเที่ยวก็วอดวายไปแล้วกว่าแสนล้านบาท
และคนพวกนี้ก็ไม่นับถือศาสนา
เพราะแกนนำคนหนึ่งก็ฝักใฝ่ลัทธินอกรีต ที่มหาเถรสมาคมประกาศชัดว่าไม่ใช่พระ ไม่ใช่พุทธ แถมยังพาคนไปตายเป็นเบือมาแล้วสองครั้งสองครา
ส่วนแกนนำอีกคนก็ใฝ่เดียรัจฉานวิชชา คิดแต่ทำลายรูปปั้นหน้าเหมือนคนนั้นคนนี้
แถมยังเอาผ้าอนามัยใช้แล้วไปไว้ที่ฐานพระบรมรูปทรงม้าที่คนเคารพบูชากันทั้งบ้านทั้งเมือง แถมยังเป็นศูนย์รวมจิตใจทหารทั้งประเทศ (แต่ทหารก็ยังทนอยู่ได้)
ทีมีรูปปั้นหน้าคล้าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อยู่ใต้ฐานพระ (มัน) กล่าวหาว่าอดีตนายกฯ จงใจไปปั้นไว้ให้คนกราบไว้
แล้ว (มึง) เอาผ้าอนามัยไปไว้ใต้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ ที่คนต้องไหว้เหมือนกันกลับไม่เป็นอะไร
ส่วนอีกเรื่องถัดมา ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ ที่ตอนแรกดูหน้าตาเหมือนจะเป็นคนดี ออกมาแถลงยกระดับการชุมนุมจากเรื่องการเมืองเป็นเรื่องความมั่นคง
ฟังแล้วอดหัวเราะไม่ได้ เพราะหากจะมีผลกระทบเกิดขึ้นกับความมั่นคงของประเทศชาติจริง ก็คงจะเพราะไอ้และอี (แอบ) ที่ป่วนบ้านป่วนเมืองอยู่เสียมากกว่า
และที่สำคัญใครไปบอกพันธมิตรฯ ว่าการชุมนุมที่ผ่านมาเป็นเรื่องทางการเมือง เพราะดูอย่างไรก็เป็นแค่เรื่องของโจรกบฏ
และสิ่งที่พบในความเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรฯ ก็มีแค่การทำร้ายร่างกาย สะสมอาวุธทั้งมีด ปืน และอุปกรณ์ที่จะใช้ทำร้ายฝ่ายตรงกันข้าม หรือเอาหนังสติ๊กยิงเหี้ย (โหดเหี้ยมชนิดที่เหี้ยยังคิดว่าเป็นญาติผู้ใหญ่) ข่มขู่ คุกคามสิทธิเสรีภาพของชาวบ้าน แม้แต่การเลือกอ่านหนังสือพิมพ์สักฉบับ
หรือหากจะเป็นเรื่องที่พอดูดี มีการใช้สมองอยู่บ้าง ก็มีเรื่องของการเมืองใหม่ ที่ล้มล้างรูปแบบประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง หรือไม่ก็ออกใบอนุญาตพกปืนในหมู่ม็อบ
ดูแล้วแต่ละเรื่องแต่ละราวมันเป็นเรื่องการเมืองตรงไหน ใครที่บ้าจี้ออกมาบอกว่าการเมืองต้องแก้ด้วยการเมือง ก็คงต้องขอคัดค้านกันตรงนี้
ความจริงแล้วเมื่อเป็นเรื่องของโจรทำลายบ้านเมือง ตำรวจก็ต้องเข้าไปจับ หรือหากขาดแคลนกำลังและสรรพาวุธ ก็ขอกำลังสนับสนุนจากฝ่ายทหาร
เพราะวันนี้กองทัพกำลังว่างงาน กำลังพลเหลือเฟือจนต้องส่งไป “อารักขา” พันธมิตรฯ ตามคำร้องขอ อันเนื่องมาจากกลัวตำรวจจะไปจับคนชั่ว
ถึงบรรทัดนี้ ผมต้องของอนุญาต พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา ผบ.ทบ. หัวเราะอีกชุดใหญ่ๆ
เรื่องถัดไป บช.น. ส่งสำนวนฟ้อง 9 แกนนำพันธมิตรฯ ไปตามหน้าที่ ทนายความม็อบก็ออกมากล่าวหาว่าจงใจให้ร้าย และที่แย่ไปกว่านั้น มี ส.ว.ผู้ทรงเกียรติ 4 ราย ยืดอกด้วยความภูมิใจ ใช้ตำแหน่งประกันไอ้พวกทำบ้านเมืองวุ่นวาย
จารึกชื่อเอาไว้ให้ลูกหลานภูมิใจ ไปจนถึงต้นตระกูล
1. นายคำนูน สิทธิสมาน
2. นายไพบูลย์ นิติตะวัน
3. นายสมชาย อังกะเวคิน
4. นายอโณทัย ฤทธิ์ปัญญาวงศ์
ใครจะชื่นชมหรือสาปแช่งอย่างไรก็ว่ากันไปตามสบาย
เนื้อที่ใกล้หมดยังสรรเสริญความดีของม็อบพันธมิตรฯ ไม่จบ
สุดท้าย...ยืมคำพูด “เสธ.แดง” พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล ผู้ทรงคุณวุฒิกองทัพบก มาเตือนด้วยความเป็นห่วง ในฐานะคนไทย ที่ดีชั่วยังไงก็ยังเลือดสีเดียวกัน
หากยังทำตัวเลวครบสูตรแบบนี้ ก็คงจะมีคนเกลียดมากขึ้นเรื่อยๆ
พันธมิตรฯ ก็คงจะต้องเป็นเป้านิ่งคอยรับมือระเบิดหรืออาวุธหนักที่จะถล่มกันเป็นรายวัน...!!